ถ้าหากจะพูดถึงคำว่า “จิวเวลรี่” แล้วนั้น ทุกคนน่าจะจินตนาการและเห็นภาพเป็นสิ่งเดียวกันอย่างแน่นอนนั่นก็คือ เครื่องประดับที่เข้ามาเพื่อเติมเต็มและแต่งแต้มความสวยงามให้กับหญิงสาว นับว่าเป็นไอเทมแฟชั่นสำคัญอย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับวงการแฟชั่นและเป็นของคู่กายหญิงสาวมาอย่างยาวนาน ซึ่งแบรนด์ไฮเอนด์ฝรั่งเศสระดับตำนานอย่าง Chanel ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เก่าแก่ของโลก ที่ได้ทำการรังสรรค์คอลเลกชันจิวเวลรี่อันโดดเด่น และน่าสนใจออกมาให้เราได้ทึ่งและประทับใจอยู่เสมอตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมห้องเสื้อระดับโลกแห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักในแวดวงจิวเวลรี่อย่างแพร่หลายและแข็งแกร่ง เพราะจิวเวลรี่แต่ละชิ้นจากแบรนด์นั้น สามารถสะท้อนความยอดเยี่ยมของจิวเวลรี่ชั้นสูงแสนวิจิตรตระการตาออกมาได้อย่างไร้ที่ติ โดยวงการแฟชั่นยกย่องให้ Coco Chanel เป็นผู้สร้างบรรทัดฐานและนิยามของจิวเวลรี่ขึ้นไปอีกระดับ
ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 1920s ผลกระทบจาก “Great Depression” หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทำให้ผู้คนโหยหาความรุ่งเรืองที่เคยได้สัมผัสในสมัยอดีตก่อนยุคสงคราม ในขณะที่โลกค่อย ๆ ฟื้นคืนความหวัง ในปี 1932 จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โดย London Diamond Corporation (สมาพันธ์เพชรแห่งกรุงลอนดอน) เกิดไอเดียบรรเจิดในการสร้างความคึกคัก ทั้งยังต้องการฟื้นฟูตลาดค้าเพชรให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
โดยได้ตัดสินใจทำการทาบทาม Grabrille Chanel แฟชั่นดีไซเนอร์หญิงระดับตัวแม่ หญิงมากความสามารถที่ได้รับการยกย่องจากสื่อต่างประเทศว่า เป็นผู้ที่ออกแบบคอสตูมจิวเวลรี่ได้สวยงามยิ่งกว่าเครื่องประดับจริง ซึ่งเธอกำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในยุคนั้น เพื่อให้เธอช่วยสร้างสรรค์ผลงานโปรโมตอัญมณีอันล้ำค่าของพวกเขา
ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 1932 นั้นเอง กาเบรียล ชาเนล ได้รังสรรค์คอลเลกชัน High Jewelry (ไฮจิวเวลรี่) เป็นครั้งแรกของโลกขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า ‘Bijoux de Diamants’ ซึ่งภายในคอลเลกชันนี้ เธอตั้งใจสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีทั้งหมด ที่สามารถสะท้อนการมอบอิสระในการเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กับการมอบความสวยงามอันเลอค่าให้กับหญิงสาว
ซึ่งนับว่าเป็นคอลเลกชันที่สามารถฟื้นฟูอุตสาหกรรมจิวเวลรี่ในยุคนั้น ด้วยแรงบันดาลใจอันน่าทึ่งในเรื่องความสวยงามของดวงดาวและความรัก โดย กาเบรียล ชาเนล ได้ตีความหมายภาพความสวยงามเหล่านั้นให้กลายเป็นจิวเวลรี่ที่มีดีไซน์เกี่ยวข้องกับฝนดาวตก อันเป็นบทสรุปของความรัก ความหลงใหลที่เธอมีต่อความงามและชีวิตอันเปล่งประกายเช่นเดียวกับแสงสะท้อนระยิบระยับจากเครื่องประดับอันเลอค่า
คอลเลกชัน ‘Bijoux de Diamants’ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคืนหนึ่งในฤดูร้อนที่กรุงปารีส ในขณะที่ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงส่องสว่างจากพระจันทร์เสี้ยว และดวงดาวที่เปล่งประกายราวกับเพชรระยิบระยับ ที่ล่องลอยอยู่บนฟากฟ้า ทำให้ กาเบรียล ชาเนล เกิดความคิดอันสร้างสรรค์ในการออกแบบเครื่องประดับ ที่สามารถคลุมผิวกายและเส้นผมของหญิงสาวด้วยฝนดาวตก ไปพร้อม ๆ กับพระจันทร์เสี้ยวที่ส่องสว่างแข่งกับดวงอาทิตย์ที่ลุกโชน
นับว่าเป็นการแสดงออกถึงสไตล์และความคิดสร้างสรรค์แบบเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการนำหลักการของการทำเสื้อผ้า โอต์ กูตูร์ มาประยุกต์ใช้กับเครื่องประดับชั้นสูงได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย ซึ่งไม่มีช่างจิวเวลรี่คนไหนในยุคนั้นทำได้แบบเธอมาก่อน
โดยเธอใช้วิธีการเน้นที่รูปทรงในการออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์ลุคในแบบที่ต้องการ เสริมความสมบูรณ์แบบของเพชรด้วยความเรียบง่าย โดยไม่อาศัยการตกแต่งใด ๆ เพิ่มเติม ไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคนิคการฝังเสียด้วยซ้ำ แต่เน้นการเจียระไนแบบคลาสสิกทั้งเพชรสีขาวและสีเหลืองที่ประดับลงบนตัวเรือนแพลทินัมและเยลโลว์โกลด์
ที่ออกแบบมาเพื่อการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งในบรรดาผลงาน 50 ชิ้น มีผลงาน 22 ชิ้นที่นำเสนอในธีมท้องฟ้า โดยสามารถนำมาเรียงต่อกันเป็นแผนที่ท้องฟ้า ที่ปกคลุมไปด้วยดาวหาง ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ “Bijoux de Diamants” เป็นเหมือนหลักฐานแห่งการปฏิวัติวงการจิวเวลรี่ของโลกเลยก็ว่าได้
เวลาได้ล่วงเลยมากว่า 90 ปี มุมมองของเธอยังคงทันสมัยอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งแบรนด์ Chanel ในวันนี้ก็พร้อมแล้วที่จะเขียนนิยามบทใหม่ให้กับคอลเลกชันสุดพิเศษนี้ โดยสตูดิโอจิวเวลรี่ของชาเนลนำแรงบันดาลใจจาก ‘Bijoux de Diamants’ มาสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวใหม่ผ่านคอลเลกชันที่ใช้ชื่อว่า ‘1932’ Patrice Leguéreau โดยยังคงยึดมั่นการออกแบบในธีมท้องฟ้า ความบริสุทธิ์ของเส้นสายที่อ่อนช้อย และเสรีภาพของร่างกายเวลาสวมใส่
โดยมีสร้อยคอ Allure Céleste หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของคอลเลกชันนี้ สร้างความโดดเด่นสะกดทุกสายตาชวนให้เราหวนนึกถึงความยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ของจุดเริ่มต้นที่ กาเบรียล ชาเนล รังสรรค์ไว้ตั้งแต่ปี 1932 ซึ่งก็คือการเดินทางของแสงที่เล็ดลอดออกมาจากดวงดาว เชื่อมโยงกันในความเวิ้งว้างของท้องฟ้า ที่สะท้อนความหมายผ่านเครื่องประดับสุดหรู ตกแต่งด้วยเพชรกลมน้ำงามจำนวนไม่น้อย
ทั้งยังประดับไปด้วยแซฟไฟร์ทรงรีสีน้ำเงินเข้มน้ำหนักพิเศษ 55.55 กะรัต และเพชรทรงลูกแพร์ชนิด IIa DFL น้ำหนัก 8.05 กะรัต ที่เปล่งประกายความงามอันโดดเด่นไม่เหมือนใคร ยิ่งไปกว่านั้นเพชรที่รายล้อมเหล่านี้ ยังสามารถถอดแยกชิ้นส่วนออกเป็นเครื่องประดับสุดหรูหราได้อีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเข็มกลัดอันมีเอกลักษณ์ เช่นเดียวกับเพชรแถวกลางที่สามารถนำมาประยุกต์สวมเป็นสร้อยข้อมือ หรือกระทั่งสามารถเปลี่ยนเป็นสร้อยคอสั้นได้อีกด้วย นับว่าเป็นผลงานที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อยกย่องแนวคิดอันสร้างสรรค์ของ กาเบรียล ชาเนล ที่ต้องการให้ผู้หญิงสวมใส่เครื่องประดับได้ดั่งใจ โดยถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มดวงดาวระยิบระยับสวยงามอันน่าหลงใหล
เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคนกับเครื่องประดับสุดหรูหรา คอลเลกชันล่าสุดจากแบรนด์ระดับโลกเก่าแก่อย่างแบรนด์ Chanel ที่เชื่อว่าถ้าทุกคนได้เห็น จะต้องตกหลุมรักและหลงใหลไปกับความงดงามสะกดทุกสายตา ไร้ที่ติอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะ นับว่าเป็นคอลเลกชันเครื่องประดับที่ได้ถูกนำมาทำใหม่ ภายใต้แรงบันดาลใจอันสร้างสรรค์ ส่วนใครที่ชื่นชอบเครื่องประดับและนาฬิกาเป็นพิเศษ สามารถติดตามสาระความรู้และความบันเทิงได้ที่ Inzpy ที่จะมีบทความที่น่าสนใจมาฝากทุกคนอีกเพียบ รอชมกันได้เลยค่ะ