ถ้าจะพูดถึงผลงานนาฬิการุ่น G-SHOCK ในตำนาน ต้องพาทุกคนย้อนกลับไปในปี 1983 ที่นาฬิกา G-SHOCK รุ่นแรกได้ถือกำเนิดขึ้นจากการเฝ้าพัฒนาเทคนิคและกลไกภายในถึง 2 ปีเต็ม ที่อัดแน่นโดดเด่นไปด้วยคุณสมบัติอย่าง Triple 10 ที่สามารถกันน้ำได้ในความดัน 10 Bar หรือที่ความลึกถึง 100 เมตร, รองรับการกันกระแทกจากที่สูงได้ถึง 10 เมตร และแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 10 ปี
แน่นอนว่าเรือนเวลาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตำนานจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีแนวคิดอันสุดโต่งจาก Kikuo Ibe ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘The Father of G-SHOCK’ เพราะเขาผู้นี้เป็นคนเสนอที่ประชุมบริษัทนาฬิกา Casio เมื่อ 40 กว่าปีก่อนว่า “ผมอยากสร้างนาฬิกาที่จะไม่มีวันพังแม้จะตกหล่น” ทำให้แนวคิดที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นกำเนิดนาฬิกา G-SHOCK ในตำนานนั่นเอง
ในปีนี้เองเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองผลงานในตำนาน ล่าสุดทางแบรนด์ได้นำเสนอนาฬิการุ่น G-SHOCK MRG-B5000 KIWAMI ที่แค่ฟังชื่อรุ่นก็สามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษของเรือนเวลารุ่นนี้ เนื่องจากคำว่า “KIWAMI” มาจากคำในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า ‘จุดสูงสุด’ เป็นความหมายแฝงที่ต้องการสะท้อนผ่านนาฬิการุ่นพิเศษนี้
ส่วนในเรื่องของการออกแบบในครั้งนี้ นับว่าเป็นการหยิบเอาดีไซน์ต้นฉบับในตำนานของ G-SHOCK มาปัดฝุ่นตีความหมายใหม่ เพราะทางแบรนด์ต้องการนำเสนอภาพลักษณ์ที่ซับซ้อนและหรูหรามากยิ่งขึ้น โดยตัวเรือนเป็นโครงสร้างหลายชั้นที่เรียกว่า “Multi-Guard Structure” เกิดขึ้นมาจากการประกอบชิ้นส่วนที่สอดประสานร้อยเรียงเข้าด้วยกันถึง 25 ชิ้น ส่งผลให้นาฬิกามีคุณสมบัติที่สามารถซับแรงกระแทกเข้าไว้ในกรอบตัวเรือนอันซับซ้อน ที่มั่นใจได้เลยว่าทนทานต่อแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม
ยิ่งไปกว่านั้นแล้วยังมีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทันสมัย ด้วยการใช้เทคนิคขัดแต่งส่วนประกอบแต่ละชิ้น จนเกิดเป็นพื้นผิวที่งดงาม ในส่วนของสายนาฬิกาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะมาในลักษณะเป็นแบบหมุดแยกออกจากกัน ฝังอยู่ในทุกข้อสายโลหะแต่ละชิ้น ที่สะท้อนงานฝีมือและความประณีตงดงามออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
G-SHOCK MRG-B5000 KIWAMI ทำออกมาถึง 2 สีพิเศษด้วยกัน โดยสีแรก MRG-B5000D-1DR (สีเงิน) ทำมาจากวัสดุพิเศษที่แข็งกว่าไทเทเนียมบริสุทธิ์ถึง 4 เท่าอย่าง COBRARIAN นำมาใช้ประกอบชิ้นส่วนด้านบนของกรอบตัวเรือน นอกจากความแข็งแรงแล้วยังมีความแวววาวราวกับแพลทตินัม แค่นั้นยังไม่พอเพราะสายนาฬิกายังถูกสร้างขึ้นจากไทเทเนียมอัลลอยอย่าง DAT55G ที่มีความแข็งกว่าไทเทเนียมบริสุทธิ์ถึง 3 เท่าอีกด้วย
มาต่อกันที่อีกสีพิเศษ MRG-B5000B-1DR (สีดำ) ที่กรอบหน้าปัดด้านบนทำจาก COBRARIAN โลหะผสมโคบอลต์-โครเมียมเช่นเดียวกัน ส่วนตัวเรือน ฝาครอบด้านหลัง และปุ่มใช้วัสดุอย่าง Ti64 ที่เป็นโลหะผสมไทเทเนียม นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบกันสั่นสะเทือนแบบสี่มุมที่เป็นลักษณะรูปตัว T และสปริงแบบซิลิโคนที่ผ่านเทคนิคการขัดเงาแบบ SALLAZ ที่ให้สัมผัสงดงามแวววาวตระการตา
โดยทั้งสองรุ่นนอกจากจะใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงกันกระแทกและการเกิดรอยขีดข่วนต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ยังเลือกใช้วัสดุที่มีความสง่างาม หรูหรา แวววาว ในคราวเดียวกัน ผสมผสานออกมาได้อย่างสวยงามลงตัว มีความแต่งต่างกันชัดเจน ตรงที่รุ่นสีเงินจะผ่านการเคลือบคาร์บอนคล้ายเพชร ส่วนอีกรุ่นจะโดดเด่นด้วยสีดำที่คงเอกลักษณ์แบบนาฬิกา G-SHOCK รุ่นออริจินอลในตำนานเอาไว้ แต่เพิ่มการตกแต่งด้วยการชุบเคลือบ IP สีทองเข้าไปเสริมความหรูหรานั่นเอง
นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงามแล้ว ยังมาพร้อมฟังก์ชันที่ล้ำเลิศในทุก ๆ ด้านแบบไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นระบบเทียบเวลาควบคุมด้วยคลื่นวิทยุและระบบเชื่อมต่อ “Smartphone Link” เข้ากับแอพพลิเคชั่น CASIO WATCHES เพื่อการปรับตั้งเวลาอัตโนมัติด้วยสมาร์ทโฟนผ่านทาง Bluetooth รวมไปถึงระบบพลังงานแสงและไฟ LED ที่พร้อมมอบความสว่างและความสะดวกสบายต่อการใช้งานทุกโอกาส
สามารถสัมผัสและเป็นเจ้าของ G-SHOCK รุ่นพิเศษสุดหรูหราล้ำสมัย ที่แฝงกลิ่นอายแบบดั้งเดิมในตำนานกับทั้งสองสุดยอดโมเดล MRG-B5000D-1DR ราคา 130,000 บาท และ MRG-B5000B-1DR ราคา 150,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษจากทางแบรนด์ Casio ได้ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2565 ที่งาน Central The Ultimate Watch Fair ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว
เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน กับนาฬิการุ่นพิเศษ เฉลิมฉลองผลงานในตำนานจาก Casio นอกจากจะทำดีไซน์ออกมาอย่างสวยงามน่าหลงใหลแล้ว ยังมาพร้อมฟังก์ชันที่อัดแน่นอีกด้วย สาวกแบรนด์หรือใครที่ติดใจ ลองตามไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมกันนะคะ วันนี้ทางเราคงต้องลาไปก่อน อย่าลืมติดตามในคราวหน้าว่า Inzpy จะเอาข่าวล่าสุดในวงการนาฬิกา หรือเครื่องประดับแบบไหนมาฝากทุกคนอีก ฝากติดตามด้วยนะคะ
