ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับรางวัลที่ใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์อย่าง “ออสการ์” รางวัลที่คนในวงการอยากจะได้สักครั้งในชีวิต ซึ่งหลายคนอาจจะรู้กันไปแล้วว่า ในแต่ละสาขา ในแต่ละหมวดหมู่ มีใคร หรือภายนตร์เรื่องใดบ้างที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง และวันนี้ Inzpy ก็จะพูดถึงเรื่องนี้แหละครับ
โดยเราจะวอร์มอัพ ก็หัวข้อใหญ่ ๆ เลย คือ ภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิง Best Picture หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งจะมาดูกันว่า มีเรื่องอะไร้บาง และเรื่องราวมันเป็นอย่างไง ทำไมถึงมีชื่อเข้าชิงได้
ภาพยนตร์เข้าชิง ออสการ์ พาร์ท 1
BelFast
เรื่องแรกเลยที่อยากจะพูดถึงก็คือ Belfast ครับ ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัล People’s Choice Award จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต้ เขียนบทและกำกับโดย Kenneth Branagh นอกจากนี้ยังได้ Haris Zambarloukos ผู้กำกับภาพที่ร่วมงานกับ Kenneth Branagh มาแล้วใน Cinderella (2015) และ Murder on the Orient Express (2017) กลับมารับหน้าที่เล่าเรื่องราวผ่านงานภาพขาวดำ
เบลฟัสต์เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวไอริช (จู๊ด ฮิลล์) พ่อแม่ของเขา (เจมี่ ดอร์แนนและไคทรีโอนา บัลเฟ) และปู่ย่าตายาย (ดาม จูดี้ เดนช์และเซียแรน ฮินด์ส) ที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างนิกายโปรเตสแตนต์และคาทอลิกในปลายทศวรรษ 1960 เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือ
ซึ่งหากใครติดตามหนังข่าววงการภาพยนตร์ นับตั้งแต่ “Silver Linings Playbook” ที่ได้รางวัลในปี 2012 หนังที่ได้รางวัลนี้นับแต่นั้นได้เข้าชิงออสการ์กันทุกเรื่อง เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันครับ
โดย Belfast ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (Kenneth Branagh), สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Ciarán Hinds), สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Judi Dench), สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม และสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Van Morrison)
CODA
หัวใจไร้เสียง CODA ภาพยนตร์ฟีลกู้ดที่ได้เข้าชิงออสการ์ตามคาดครับ แม้ว่าในภาพแรกของตัวหนังจะโคตรไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย นักแสดงโนเนม 4 คนนั่งเรียงกันอยู่ท้ายกระทะ ? แล้วไงต่อ ? แต่สุดท้ายใครที่ไมได้ดู อาจจะพลาดความดีงามอย่างหนึ่งในชีวิตไปเลยก็ได้
CODA เป็นผลงานของ เซียน ฮีเดอร์ (Sian Heder) ซึ่งเธอควบหน้าที่กำกับและเขียนบทด้วยตัวเอง จะเรียก CODA ว่าเป็นหนังอินดี้หรือหนังสายรางวัลก็ไม่ผิดนัก เพราะหนังถูกส่งเข้าประกวดตามเทศกาลหนังมาเป็นสิบแล้ว แล้วด้วยคุณค่าของหนังก็กวาดมาได้แล้วกว่า 30 รางวัล
แต่เวทีที่ส่งให้ CODA ประสบความสำเร็จสุดก็คือ ซันแดนซ์ เพราะคว้ามาได้ถึง 4 รางวัล ทำให้ Apple TV ควักกระเป๋าซื้อหนังไปด้วยมูลค่า 25 ล้านเหรียญทันที มองแล้วน่าจะเป็นตัวเลขที่คุ้มค่ามาก ๆ เพราะถึงนาทีนี้ ตัวหนังมีสิทธิ์อย่างมากที่จะได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในหลายสาขา
CODA นั้นย่อมาจาก “Child of Deaf Adults” แปลได้ว่า “บุตรที่มีบุพการีหูหนวก” ซึ่งก็หมายถึงตัว รูบี้ รอสซี รับบทโดย เอมิเลีย โจนส์ (Emilia Jones) นักแสดงนำหญิงจากทีวีซีรีส์ Locke & Key รูบี้เป็นลูกสาวคนเดียวที่หูได้ยินเสียงปกติในครอบครัวที่หูหนวกทั้งบ้านที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และพี่ชาย ครอบครัวเธอประกอบอาชีพออกเรือหาปลา
รูบี้จึงเป็นสาววัยรุ่นที่ต้องรับภาระหนักมาก เธอกลายเป็นเหมือนเสาหลักของครอบครัว ซึ่งตัวหนังนั้นปูทางให้เรารู้จักและเห็นใจกับภาระหน้าที่ของรูบี้ แต่แล้วเมื่อรูบี้ค้นพบพรสวรรค์และสิ่งที่เธอรัก นั่นก็คือ “การร้องเพลง” ซึ่งเธอทำได้ดีมาก จนคุณครูพยายามผลักดันให้เธอได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเบิร์คลีย์
แต่นั่นกลายเป็นว่าถ้ารูบี้เลือกเดินตามความฝันของตัวเอง ก็เท่ากับเป็นการทอดทิ้งครอบครัวที่ต้องการเธอเป็นที่พึ่ง แค่พล็อตเรื่องก็รู้แล้วว่า “น้ำตาท่วมแน่นอน” เพราะอะไรก็ตามที่เล่นกับความสัมพันธ์ของครอบครัว มันเจ็บปวดเสมอ ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจเลยที่ หนังเรื่องนี้จะถูกส่งชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพราะหนังสไตล์นี้ คือหนังโปรดของเวทีออสการ์อยู่แล้วครับ
Don’t Look Up
เรื่องนี้เชื่อว่า คุ้นหู คุ้นตากันแน่ ๆ แหละ เพราะว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง และขึ้นไปติดอันดับ 1 ของ Netflix อยู่หลายสัปดาห์ทีเดียว
เรื่องราวของ นักดาราศาสตร์ระดับล่าง 2 คนที่ต้องออกเดินสายประชาสัมพันธ์ครั้งสำคัญเพื่อเตือนให้มวลมนุษยชาติรู้ว่าดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาชนโลกจนย่อยยับ
Don’t Look Up หนังตลกร้ายหนักสมองที่เอาเรื่องเครียดมาทำให้บันเทิงได้ดี และแน่นอนว่าฝีมือการเขียนบทอันแสบสันของแมกเคย์คือกุญแจความสำเร็จนั้น และอาวุธหนักที่เขาเลือกใช้ในกลยุทธ์นี้ก็คือบารมีระดับดึงดาราแม่เหล็กหลายคนมาร่วมงานกับเขาได้แม้บทจะดูบ้าบออย่างไรก็ตาม
นี่คือการยกระดับการวิจารณ์สังคมไปอีกขั้น ด้วยเรื่องจริงที่ อดัม แมกเคย์ (ผู้กำกับ) คิดว่าเป็นไปได้จะเกิดขึ้นถ้ามีดาวเคราะห์น้อยพุ่งมาชนโลกในวันหนึ่ง เหมือนเขาสร้างกล่องทดลองระบบปิดที่ใส่สังคมมนุษย์ลงไป ใส่ระบบนิเวศการเมืองและการบริหารแบบอเมริกัน เหยาะสารเร่งปฏิกิริยาให้ดูรุนแรงขึ้นนิดเพื่อเห็นผลชัดขึ้นไวขึ้นหน่อย
สำหรับ อดัม แมกเคย์ เขาเคยเปรี้ยงปร้างกับหนังเสียดสีวงการการเงินจากเรื่องจริงอย่าง ‘The Big Short’ (2015) ที่เข้าไปสร้างความหวือหวาในเวทีออสการ์ปี 2016 ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจ หากหนังแนวถนัดของเขาจะขึ้นไปป่วนออสการ์ 2022 นี้ โดยเฉพาะกับคอนเซปต์ของหนังที่ว่า “เค้าโครงเรื่องจริง ที่ยังเคยไม่เกิดขึ้น”
Drive My Car
ภาพยนตร์ญี่ปุ่น ที่ว่ากันว่า ดราม่าจัดที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งหากใครได้ดูก็จะมีอารมณ์ร่วมกัดกินหัวใจไปเรื่อย ๆ โดย Drive My Car นั้นการันตีด้วยรางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ 2021 ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่มันดีซะจนออสการ์มองข้ามไม่ได้
เรื่องราวของ ยูซูเกะ ฮาฟูกุ นักแสดงและผู้กำกับละครเวทีหนุ่มใหญ่ ที่มีชีวิตแต่งงานแสนสุขกับ โอโตะ นักเขียนบทสาว แต่แล้ววันหนึ่งโอโตะได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทิ้งไว้เพียงความลับและบาดแผล 2 ปีต่อมา ฮาฟูกุยังคงไม่สามารถเยียวยาจิตใจออกจากความสูญเสียได้ ตัดสินใจรับข้อเสนอไปกำกับละครเรื่องหนึ่งในเทศกาลที่ฮิโรชิมา และขับรถออกเดินทางไปตามลำพัง
ณ ที่นั่นเขาได้พบ มิซากิ หญิงสาวเงียบขรึมผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาเป็นคนขับรถให้กับเขา ทั้งคู่ที่แตกต่างกันในทุกๆ ด้าน จำต้องใช้เวลาร่วมกันบนรถสีแดงคันเล็กๆ ท่ามกลางความอึดอัดตลอดเส้นทางเป็นชั่วโมงจากที่ทำงานถึงที่พัก โดยหารู้ไม่ว่ามันจะกลายเป็นทั้งสถานที่เผยความลับและเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวกว่า 3 ชั่วโมงครับ แต่เป็น 3 ชั่วโมงที่คนดูได้ถลำลึกและซึมซับเข้าถึงตัวเลขได้อย่างเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เสมือนการได้เปิดใจทำความรู้จักคนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตตัวเองอะไรทำนองนั้น
“เรียวสึเกะ ฮามะกูชิ” คือผู้กำกับที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ ทั้งกำกับและเขียนบทหนังเอง เขาคือนักทำหนังที่มีลายเส้นและฝีมือในการเป็น Storyteller ระดับแถวหน้าของญี่ปุ่น โดยหนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจาก เรื่องสั้นของ “ฮารุกิ มูระกามิ” ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถขยายออกมาได้เป็นเรื่องยาวและยิ่งใหญ่เพียงดี และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Drive My Car เป็นหนังที่มีองค์ประกอบต่างๆ ทั้ง Pacing และ Segment ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
King Richard
หากคุณคือคอกีฬา คุณต้องรู้จักกับพี่น้องมหาประลัยที่เขย่าวงการเทนนิสหญิง วีนัส และ เซเรน่า วิลเลียมส์ กับเรื่องราวของชายที่ชื่อว่า “ริชาร์ด” ผู้เป็นพ่อของยอดนักกีฬาทั้งสองคน นอกจากนี้ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกความำสเร็จของ วีนัส และ เซเรน่า โดย วิล สมิธ นักแสดงยอดฝีมือ เป็นผู้รับบท “ริชาร์ด วิลเลียมส์” ครับ
และใน ออสการ์ 2022 นี้ King Richard ยังเข้าชิงรางวัลมากถึง 6 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (วิลล์ สมิธ เข้าชิงครั้งที่ 3), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม,เพลงประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม จากผลงานบทภาพยนตร์ของ ‘แซ็ก เบย์ลิน’ (Zach Baylin)
แต่ตัวหนังส่วนใหญ่จะเน้นเล่าไปที่ประเด็นของครอบครัววิลเลียมส์ทั้ง 7 คนที่อาศัยอยู่ในย่านคอมป์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมและยาเสพติด
ครอบครัวนี้ประกอบไปด้วย ‘ริชาร์ด วิลเลียมส์’ (Will Smith) คุณพ่อผู้ทำงานเป็น รปภ. กะดึก และ ‘ออราซีน วิลเลียมส์’ (Aunjanue Ellis) ผู้เป็นภรรยาและแม่ของลูกสาวทั้ง 5 คน ซึ่งประกอบไปด้วยพี่น้องคนสุดท้องอย่าง ‘วีนัส วิลเลียมส์’ (Saniyya Sidney) และ ‘เซเรนา วิลเลียมส์’ (Demi Singleton) และพี่สาวของพวกเธออีก 3 คนเป็นพี่สาวต่างมารดา
วีนัสและเซเรนามีพรสวรรค์ด้านกีฬาเทนนิส พ่ออย่างริชาร์ดจึงทุ่มสุดตัวในการสอน แม้ว่าจะต้องอดนอนกลางวัน โดนนักเลงแถวคอร์ตรุมสกรัม หรือแม้แต่วันที่ฝนตก เพียงเพื่อหวังให้ลูก ๆ ใช้กีฬาในการนำพาตัวเองออกไปจากย่านเสื่อมโทรมและวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ ให้ได้
ยังไงก็ต้องไปหาดูครับเรื่องนี้ ใครที่ยังไม่ได้ดูคุณจะได้รับรู้ถึงความเป็นพ่อ ที่โคตรจะมีความพยายาม แม้จะจัดระเบียบ หัวดื้อ ตรงไป ตรงมา แต่เขาทำออกมาจากหัวใจ เพื่อลูก และครอบครัว และสิ่งที่เขาทำ เราก็ได้เห็นกันอยู่แล้วจากความสำเร็จของทั้ง วีนัส และ เซเรน่า
ฉะนั้นต้องมาลุ้นกันครับ เพราะนี่คือหนึ่งในหนังที่ผมเองก็อยากจะให้คว้ารางวัลมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยที่ส่วนตัวชื่นชอบ วิล สมิธ อยู่แล้ว และตัวผมเองก็เป็นแฟนเทนนิสมาตั้งแต่เด็ก ๆ ฉะนั้นบอกเลยถูกใจมาก
ก็ผ่านไป 5 เรื่องแล้วครับ สำหรับหนังที่เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2022 นี้ แต่นี่ก็ยาวเกินไปละ เอาเป็นว่าอีก 5 เรื่องที่เหลือ รออ่านพรุ่งนี้ บอกเลยว่าดี ๆ และเข้มข้นทุกเรื่อง เพราะว่ากันว่า ปี 2022 นี้ถือเป็นปีที่หินที่สุดปีหนึ่งของการชิงออสการ์เลยครับ