More
    spot_img

    สงคราม ที่มีแต่การสูญเสีย สื่อออกมาสุดชัดกับ Saving Private Ryan

    สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ กับ “สงคราม” ที่หลายคนกลัวเหลือเกินว่ามันจะเกิน ระหว่าง “รัสเซีย” และ ยูเครน” เพราะทางฝั่งของปูตินเองก็เริ่มบอมส์ และส่งคนเข้าไปบ้างแล้ว แต่วันนี้ Inzpy ไม่อยากจะให้ตึงเครียดเกินไป แต่ก็อยากให้หลายคนได้ดูหนังดี ๆ ที่ทำให้รู้จักกับสงครามไปพร้อม ๆ กันด้วย

    หนังเรื่องที่ผมจะแนะนำวันนี้เป็นหนังเก่าครับ ออกฉายในปี 1998 และคว้ารางวัลออสการ์ในปี 1999 ชนิดที่เรียกว่าหลายรางวัลเกินนน ซึ่งตัวของผู้เขียนเองได้ดูมาหลายรอบมาก ๆ เป็นหนังสงครามที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยครับ สำหรับ Saving Private Ryan

    สงคราม

    Saving Private Ryan หนัง “สงคราม” ระดับออสการ์

    Saving Private Ryan : ฝ่าสมรภูมิรบ เป็นเรื่องราวในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อตอนบุกในวัน D-Day ที่หาดนอร์มังดี ซึ่งก็คือฉากเปิดของเรื่องครับ ผมบอกเลยว่า หนังหลาย ๆ เรื่อง มักจะเอาฉากมันส์ ๆ เร้า ๆ หรือไคลแม็กซ์ไปไว้ท้ายเรื่อง หรือก่อนบทสรุปต่าง ๆ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ ฉากยกพลขึ้นบกหาดนอร์มังดี เป็นฉากเปิดเรื่องที่โคตรสนุก โคตรมันส์ โคตรดี และบ่งบอกทุกอย่างของความเลวร้ายแห่งสงคราม

    ความตาย ความสูญเสีย ความทุกข์ทรมาน ความรักชีวิต ความรักเพื่อนพ้อง ทุกอย่างมันรวมอยู่ในฉากนี้ เป็นฉากรบที่ดีไซส์ออกมาได้ดีมากครับ เสียงกระสุนปืนดังสนั่นหวั่นไหว กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการบุกขึ้นหาด มุมกล้องต่าง ๆ โคตรดี

    ซึ่งหลังจากสู้รบกันเสร็จก็เข้าสู่แก่นหลักของหนังครับ นั่นคือ ร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ (ทอม แฮงค์) ได้รับมอบหมายภารกิจให้ไปช่วย พลทหารไรอัน (แมตต์ เดนมอน) พี่น้องคนสุดท้ายของครอบครัวไรอัน เพื่อที่เขาจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างปลอดภัย โดยจอห์น ได้เอาทหารไปด้วยรวมเขาเป็น 8 นาย เพื่อช่วยชีวิตคน ๆ เดียว

    โดยพลอตเรื่องหลักคือการเดินทาง และค้นหาคน แต่สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มันสื่อสารออกมา มันมีอะไรที่มากกว่านั้นเอยะเหลือเกินครับ โดยเฉพาะ ภาพของความเละเทะของบ้านเมือง ความลำบากของประชาชน ความหวาดระแวง และหวาดกลัว ซึ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากสงครามล้วน ๆ เป็นหนังที่บอกเล่าถึงความโหดร้ายของสงครามได้ดีที่สุดแล้ว

    คือหากให้เปรียบเทียบ เวลาเราเด็ก ๆ เราดูหนังทหาร หนังสู้รบกัน เราแบบอยากเท่แบบนี้ อยากเป็นหน่วยรบ อยากจับปืนออกไปลุย อยากขับเครื่องบินไปยิงเขา (ตามความคิดแบบเด็ก ๆ) แต่สำหรับเรื่องนี้ ทุกอย่างมันตรงกันข้ามครับ มันฉายให้เห็นถึงความโหดร้าย ข้อเสีย และทุกอย่างที่มันไม่ได้ออกมาเท่เลยในความเป็นจริง

    Saving Private Ryan มีประเด็นที่พูดถึง “การมองเห็นมนุษย์ด้วยกัน” อยู่ตลอดเรื่อง ผ่านเรื่องของการสูญเสีย เสียสละ และการชั่งน้ำหนักชีวิต ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันต้องใช้อะไรเป็นหลักเกณฑ์ กล่าวคือ ท้ายที่สุดชีวิตของมนุษย์อาจไม่สามารถพิสูจน์ได้ และพิสูจน์ได้ในเวลาเดียวกัน แล้วแต่ว่าเรามองเห็นชีวิตในแบบไหน มองคนโดยใช้อะไรวัด

    สงคราม

    ฉากหนึ่งที่ชอบมากๆ คือซีนที่ มิลเลอร์ พูดถึงทหารในหน่วยของตัวเองที่เสียชีวิตตลอดการรบ มิลเลอร์ บอกว่าเขาเสียคนในหน่วยไป 90 กว่าคน แต่ที่ได้กลับมาคือการช่วยชีวิตคนอีกมหาศาล การมองแบบนั้นทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับตัวเขา

    ประเด็นนี้พูดถึงมุมมองการเป็นผู้นำอย่างน่าสนใจ และถูกขยี้อย่างรุนแรงในช่วงต่อมาเมื่อเชาสั่งให้คนในหน่วยบุกโจมตีป้อมปราการที่แม้จะไม่ใช่ภารกิจตัวเอง แต่ก็เพื่อรักษาชีวิตของหน่วยคนอื่น ๆ ที่อาจผ่านมาทางนี้ แน่นอนว่าพวกเขาทำภารกิจสำเร็จ แต่ก็ต้องสูญเสียคนไป และนั่นคือราคาที่เขาต้องได้รับ เป็นสมการชีวิตที่เขาก็ต้องชั่งน้ำหนักเอาเอง

    จากทั้งบทภาพยนตร์ และการกำกับ ดูกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันถึงใจมาก ๆ ชอบตั้งแต่เซ็ทซากเมืองที่ดูใหญ่โตมโหฬารมากๆ ไปจนถึงองค์ประกอบยิบย่อย ที่ทำให้หนังออกมาจริงได้ คือทั้งฉากเปิด และฉากปิดอยู่ในระดับท็อปฟอร์มเท่าๆ กัน จนแอบคิดไปด้วยซ้ำว่าภาพสงครามโลกครั้งที่ 2 ของใครหลายคนถูกภาพของ Saving Private Ryan เป็นตัวแทนไปแล้วเรียบร้อย

    ซึ่งอย่างที่บอกว่า หนังเรื่องนี้กวาดออสการ์ไปหลายรางวัล ได้แก่ “ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม”, “บันทึกเสียงยอดเยี่ยม”, “ถ่ายภาพยอดเยี่ยม”, “ตัดต่อยอดเยี่ยม” และ “ลำกดับเสียงยอดเยี่ยม”

    เป็นหนังที่ควรค่าแก่การดู และอยากจะไปเปิดให้ปูตินดูอีกซักรอบเพี่อจะใจเย็นลง และเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น (ฮา) หาดูได้ใน Netflix ครับหนังเรื่องนี้ สุดท้ายสงครามีแต่ความสูญเสียครับ ทุกฝ่ายล้วนมือเหตุผลของตัวเอง แต่การรบราฆ่าฟันกัน ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องแน่นอน

     

    Related Post

    Most Popular

    Recommended