หากถามว่า The Rock คือใคร ทุกคนรู้จักเขาในฐานะนักมวยปล้ำ ที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง แต่หลายคนคงจะลืมไปแล้วว่า The Scorpion King คือบทที่ทำให้เขาแจ้งเกิดขึ้นมา และไม่ใช่จากตัวหนังเรื่องนี้ด้วย แต่เพราะจากความนิยมของ The Mummy ซึ่งสุดท้ายมันต่อยอดไปให้มีภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีอายุครบ 20 ปี แล้วนะครับ และอย่างที่บอก นี่คือหนังที่ทำให้เราได้รู้จักกับ ดเวย์น “เดอะ ร็อก” จอห์นสัน อย่างจริง ๆ จัง ๆ ใน ฐานะนักแสดงระดับฮอลลีวู้ด
The Scorpion King จุดเริ่มต้นของ The Rock
หนังฮอลลีวู้ดเรื่องแรกของ เดอะ ร็อค จริง ๆ ก็คือย้อนกลับช่วงปี 2001 ในหนังเรื่อง The Mummy Returns กับบทราชันต์แม่งปอง ที่ออกมาจู่โจมกลุ่มพระเอก เรียกว่าเป็น Last Boss ก็ได้ แม้ว่าจะออกมานิดเดียวแต่รัศมี หรือ คาริสม่า จับดีเหลือเกิน และมันจึงทำให้โปรดิวเซอร์ไอเดียกระฉูดในการปลุกปั้นราชันต์แมงป่องคนนี้
ซึ่งทางสตูดิโอชอบมาก อนุมัติทันทีแถมยังทุ่มงบกว่าหกสิบล้านดอลลาร์ เชื่อมั่นกับโปรเจกต์นี้เต็มที่ พาให้เดอะร็อกสร้างสถิติเป็นนักแสดงที่ได้รับค่าตัวสูงที่สุดสำหรับการรับบทนำเรื่องแรกด้วยจำนวน 5.5 ล้าน ส่วนหนึ่งที่ทางสตูดิโอมั่นใจ ฏ็เพราะชื่อเสียง และฐานแฟนคลับของ เดอะ ร็อก จาก WWE นั่นแหละครับ
ตัวของร็อกเองก็สารภาพว่าการก้าวมารับบทนำครั้งแรกนี้ท้าทายเอาการ ในขณะที่พาร์ทแอ็คชั่นไม่เหลือบ่ากว่าแรง สามารถเล่นฉากสตันท์เองได้มากมาย หรือแม้แต่ได้โชว์ลูกถนัด ทว่าตลอดชีวิตบนสังเวียนผ้าใบของเขาไม่เคยต้องถ่ายทอดอารมณ์อันลึกซึ้งซับซ้อนมาก่อน โดยเฉพาะความเศร้า ความสูญเสีย
“ผมมาจากคนละวงการ ตอนเล่นมวยปล้ำ เราไม่เคยมีประเด็นการสูญเสียคนในครอบครัว แต่พอมาเล่นหนัง เราต้องเรียนรู้การสื่ออารมณ์หลากหลายแบบมาก นี่คือส่วนที่ยากที่สุดสำหรับผมแล้ว”
กระนั้นก็ดีในการรับบทนำครั้งแรกของเขา ก็ถือว่าโชคดีมากที่มีเหล่านักแสดงระดับคุณภาพร่วมแสดงด้วยทั้ง ไมเคิล คลาร์ก ดันแคน, แกรนท์ เฮสลอฟ, เบอร์นาร์ด ฮิลล์, สตีเว่น แบรนด์ และ เคลลี่ ฮู ซึ่งทำให้ตัวของ ดเวย์น จอห์นสัน ได้เรียนรู้อะไรมากมาย
ก่อนที่ปัจจุบันเขาจะก้าวคือมาเป็น นักแสดง ระดับตัวทำเงินเบอร์ต้น ๆ ของ ฮอลลี้วู้ด ที่ไม่ว่าเล่นเรื่องไหน ปังเรื่องนั้น เดอะ ร็อก กลายเป็นนักแสดงระดับ “การันตีได้เลยว่าหนังเรื่องนี้มีเขาดีแน่นอน”
Scorpion King ออกฉายในปี 2002 ทำเงินทั่วโลกประมาณ 180 ล้านดอลลาร์ ตัวหนังมีความยาวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จึงกลายเป็นหนังแอ็คชั่นตะลุยกลางทะเลทรายสำหรับดูเอามัน และมีรสชาติที่ครบรสของที่หนังย่อยง่ายซักเรื่องหนึ่งควรจะมี และที่เหลือก็คือเหล่านักแสดงที่วาดลวดลายได้เหลือร้ายจริง ๆ ครับ
วันนี้เอาพอเป็นน้ำย่อย ในอนาคตไว้ปมจะมาเขียนเรื่องราวของ The Rock และ ดเวย์น จอห์นสัน อย่างจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง ในฐานะที่เขาเป้นหนึ่งในไอดอล และเป็นบุคคลที่ทำให้ผมรัก และรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “มวยปล้ำ”
และหากผมพอมีเวลา ก็จะกลับไปนั่งย้อนดูหนังเรื่องนี้รวมถึง The Mummy ทุกภาคอีกครั้งแล้วจะนำกลับมาเหล่าสู่กันฟังอย่างแน่นอน