วันนี้เราจะมี รีวิว Jurassic World ภาคล่าสุด ที่บอกเลยว่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใจ ถูกจริต และมีหลายคนที่ผิดหวัง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ตัวหนังก็ทำเงินมหาศาลไปเรียบร้อย จากแฟนเดนตายของเฟรนส์ ไดไนเสาร์นี้ ก็คนมันรักอะครับน้อง ๆ จะไม่ให้ดูได้อย่างไร วันนี้ Inzpy เลยจัดให้สักหน่อย
รีวิว Jurassic World Dominion จากคนไม่ใช่แฟนบอย
สำหรับ Jurassic ภาคนี้ถือเป็นภาคที่ 3 ของ Jurassic World และเป็นลำดับที่ 6 ของตระกูล Jurassic นับตั้งภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 1993 ในชื่อ Jurassic Park โดยในภาคนี้ได้ตัว Colin Trevorrow ผู้กำกับจาก ‘Jurassic World’ (2015) มารับหน้าที่กำกับแทน J.A. Bayona ที่ผลงานไม่ค่อยเข้าตาเท่าไหร่ในภาคที่แล้ว
ส่วนนักแสดงนำในภาคนี้ยังคงเป็น Chris Pratt, Bryce Dallas Howard และ Isbella Sermon พร้อมทั้งดึง Sam Neill, Jeff Goldblum, Laura Dern และ BD Wong จากยุค Jurassic Park มาร่วมด้วย เรียกว่าพารุ่นเก่ามาเจอกับุร่นใหม่
โดยเนื้อหาในภาคนี้นั้นจะเป็นระยะเวลา 4 ปี หลังจากภาค Fallen Kingdom เกาะ ‘อิสลา นูบลาร์’ (Isla Nublar) ที่ตั้งดั้งเดิมของสวนสนุกจูราสสิก เวิลด์ ถูกทำลายเพราะถูกภูเขาไฟถล่ม ไดโนเสาร์ทั้งหลายถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติ โอเวน เกรดี ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมไดโนเสาร์ แคลร์ เดียริง อดีตนักวิจัยไดโนเสาร์ และเมซี ล็อกวูดปลีกวิเวกอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านกลางป่าลึก
ซึ่งครั้งนี้ทั้งสามจะต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาครองโลกอีกครั้งของไดโนเสาร์ที่กำลังจะกลายมาเป็นจุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารแทนมนุษย์ รวมไปถึงบริษัทไบโอซิน จีเนติกส์ที่สร้างภาพว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่กำลังมีแผนจะเข้ามาหาประโยชน์จากไดโนเสาร์อยู่เบื้องหลัง กระนั้นพวกเขาไมได้รับมือเพียงลำพัง เพราะได้มือเก๋าอย่าง อดัม แกรนต์, เอียน มัลคอล์ม, เอลลี แซตเลอร์ และ ดร. เฮนรี วู มาร่วมด้วยช่วยกัน
ในภาคนี้บอกเลยว่า มันอลังกาลงานสร้างชนิดเว่อร์วัง กะว่าจะปิดไตรภาคแบบให้เป็นตำนานกันเลยล่ะ เพราะถ้าขนาดขนเล่าตัวละครเก่ามาจอยด้วย เชื่อว่า ผู้กำกับก็คงต้องการให้ภาคปิดนี้เป้นที่จดจำ และรวบรวมความประทับใจไว้ใหได้มากที่สุด เพราะนี่คือภาคที่มีไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ที่สุดของเฟรนไชส์เลยครับ
เท่านั้นไม่พอ ด้วยความที่มันเป็น “Wolrd” นี่จึงเป็นภาคที่ถ่ายทำในหลากหลายโลเคชั่นมากที่สุด ใช้สถานที่เปลืองที่สุด ไปมันทั่วทุกมุมโลก แถมมีการใช้ CGI กับหุ่นไดโนเสาร์เสมือนจริงมากที่สุดอีก เรียกว่าให้มันที่สุดของที่สุดกันไปเลย!
ตอนต้นเรื่องปูบทมาได้น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และไดโนเสาร์ ที่มันมีเอฟเฟ็คต่าง ๆ นา ๆ ต่อโลกและธรรมชาติ และโซเชี่ยลต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องของการหาผลประโยชน์จากไดโนเสาร์ของมนุษย์ คือเอาง่าย ๆ ว่า มันเล่นถูกปมดีนะ ว่าสุดท้ายมนุษย์มันคือจุดสุงสุด ต่อให้ไดโนเสารื มันคือยอดของบ่วงโซ่อาหาร แต่มนุษย์ก็ยังฉลาดพอที่จะหากำไรจะมันได้
แต่กระนั้นด้วยความฉลาด ความหลักแหลมมนุษย์มันก็ย้อนเข้าตัว เพราะอย่างที่บอกว่า ไดโนเสาร์สุดท้ายมันคือจุดสูงสุดของบ่วงโซ่อาหาร และมนุษย์ก็กลายเป็นผู้ที่ถูกล่าได้เช่นกัน
ตัวหนังเหมือนจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทางนะด้วยความที่ตัวละครมันเยอะ ก็ต้องพยายามกระจายบท และมันส่งผลให้หนังนั้นยาว 2 ชั่วโมงกว่า ๆ
ด้วยความที่ผมไม่ใช่แฟนบอยของเฟรนไชส์นี้มาแต่ไหนแต่ไร ก้ดูด้วยความหัวโล่ง สิ่งหนึ่งีท่สัมผัสได้คือ ความรู้สึกที่แอบน่าเบื่อหน่อย ๆ ตรงมักจะมีมุกเก่า ๆ เดิม ๆ และความยุคอยู่บ้าง คือเนื้อเรื่องมันโอเค น่าสนใจ แต่ในรายละเอียด มันมีบางอย่างที่แอบดูเสล่อ ซึ่งก็ขอเดาว่าตัวผู้กำกับแกเองก็หมดมุกใช่ย่อย
คือตัวหนังมันว้าวของมันแหละ มันมีอะไรที่เซอร์วิสแฟน ๆ มี Jump Scared ที่ใส่มาอย่างมีจังหวะจะโคน แต่ตัวหนังมันไม่สุด เพราะความเดิม ๆ ของอะไรหลายอย่างนั่นเอง เอาเป็นว่า ถ้าให้คะแนน แค่ 4 เต็ม 10 แล้วกัน ไม่ได้อคติ แต่ไม่ใช่แฟนบอยจนรู้สึกว่าจะต้องอวยแต่อย่างใดครับ