Sex Education ซีรี่ย์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
เรียกว่า ดี และ ดัง ต่อเนื่องจริง ๆ สำหรับ ซีรี่ส์ ที่พูดถึงเรื่องของ “เพศศึกษา” อย่าง Sex Education ที่เพิ่งจะปล่อย Season 3 ออกมาให้ชมผ่านทาง Netflix ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา (2021) และแน่นอนกว่า “กระแส” ของซีรี่ส์ เรื่องนี้ต่อเนื่องทุกซีซั่น แถมทิ้งปมไว้เตรียมปัง กับ ซีซั่น 4 อีกต่างหาก!
Sex Education ss 1 ออกอากาศครั้งแรก บน Netflix แพลตฟอร์มสตีมชื่อดัง เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2019 โดยเนื้อหาหลัก ๆ จะพูดเรื่องความ เพศ เซ็กส์ และความรัก ที่ดำเนินผ่านตัวละครหลากหลายบุคลิก หลากหลายนิสัย และหลากหลายทัศนคติ ที่สุดท้ายแล้ว มันลงตัว กลมกล่อม และชวนติดตาม มากกว่า ซีรี่ส์เรื่องไหน ๆ
และวันนี้ เราจะมาทำความรู้จัก กับเหล่าตัว Top ของ “ห้องเรียนเพศศึกษา” ห้องนี้กัน!
อดัม กรอฟฟ์ รับบทโดย คอนเนอร์ สวินเดลล์
หนุ่มล่ำ ลูก ผอ. เกเร ก้าวร้าว ขาโหดประจำโรงเรียน ที่เรียกว่า ไม่มีใครคบเลย อดัมค่อนข้างจะแสดงออกแบบชัดเจนว่า เกลียด “LGBT” และชอบแกล้ง “อีริค” ที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็น “เกย์” แต่สุดท้าย เจ้าตัวก็ดันไปตกหลุมรัก อีริค ซะเอง (แอบละครไทยเหมือนกันนะ)
แต่อย่างว่าแหละ ความรักมันก็ขึ้นที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ประเภทที่ด่ากันมาตั้งแต่แรกเจอ อาจจะมาป๊ะ ๆ กันในภายหลัง ไม่ได้มีแค่ในซีรี่ส์ หรือ ละครนะจ๊ะ
อะ วนกลับมาถึง นิสัยใจคอของ กรอฟฟ์ คนลูก ที่เอาจริง ๆ แล้วเขาน่าสงสารมาก ๆ นะ เพราะว่าไอ้ความ ดุดัน ก้าวร้าว ของกรอฟฟ์เนี่ย มันน่าจะมาจากความเก็บกดของเจ้าตัว ที่ถูกพ่อ ซึ่งเป็นครูใหญ่ประจำโรงเรียน ที่มีทั้งความเฮี้ยบ มีความเผด็จการมากมายในตัว และเขาเอาสิ่งเหล่านั้นมาลงกับที่บ้าน ในระดับที่ว่า หาก กรอฟฟ์ กลับบ้านช้าแม้แต่วินาทีเดียว เขาก็จะถูกลงโทษ
รวมไปถึงการกดดันให้มีผลการเรียนที่ดี (ที่สุด) และการส่งไปโรงเรียนทหาร แบบที่ไม่ถามสุขภาพลูกชายซักคำ สิ่งเหล่านั้น คือสิ่งที่หล่อหลอมให้กรอฟฟ์ มีความแข็งกระด่าง และก้าวร้าว อย่างที่เห็นกัน แต่ในความเศร้านั้น ยังมีความดชคดี ที่เขาได้เจอกับคนที่สามารถเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปากอย่าง “โอลา” หรือ การมีความรักในแบบฉบับ LGBT กับ อีริค ที่กล่าวเป็นในข้างต้น ก็ช่วยเยียวยาให้เขากลับมาเป็นคนดีที่ขึ้นกว่าเดิม
เอมี่ กิบส์ รับบทโดย เอมี่ ลู วูด
สาวน้อยที่น่าสงสารคนหนึ่งของเรื่อง เนื่องจากเคยสมหวัง และผิดหวังในความรัก รวมทั้งเคย สับสนในความรักของตัวเอง จนต้องไปปรึกษากับ โอทิส มาแล้ว
แต่ที่มันแย่ยิ่งกว่านั้นคือ ครั้งหนึ่งเธอเคยถูก “ลวมลาม” บนรถประจำทาง อันเป็นเหตุให้ เธอเลือกที่จะ “เดินเท้า” ไปโรงเรียนทุกวัน เพราะความรู้สึกที่มันที่เก็บซ่อนไว้จากเหตุการณืนี้ มันด้านพุ่งทะยานเข้ามา และทำร้ายจิตใจของเธออย่างหาพระคุณที่สุดไม่ได้
และความกลัวนั้นมันยังส่งผลต่อชีวิตคู่ของเธอกับ สตีฟ มอร์ลีย์ เพราะตัวของ เอมี่ นั้นกลัวที่จะใกล้ชิดกับผู้ชาย ซึ่งมันรวมไปถึง แฟนของเธอด้วย สุดท้ายมันส่งผลร้ายกว่าที่คิด เพราะเธอ กับ สตีฟก็ค่อย ๆ ห่างกันไปจากเหตุการณ์นี้ (สตีฟ พยายามจะมีอะไรกับ เอมี่ แต่ถูกเธอปฏิเสธเพราะความกลัว)
จริง ๆ แล้ว สาวน้อยฟันกระต่ายคนนี้ เป็นคนร่าเริงนะ แต่จากเหตุการณืที่เธอถูกผู้ชายที่ดุใจดี และน่าไว้ใจ ช่วยตัวเองจนเสร็จใส่กระโปรงของเธอบนรถประจำทางคันนั้นที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอกลายเป็นคนอมทุกข์ กลัวผู้ชายทุกคน ที่เฉียดเข้าใกล้ และ เอมี่ เองก็แค่ต้องการใครซักคน (หรือหลายคน) ที่รับรู้ รับฟัง และเข้าใจเธอ
อย่างเช่น ตอนที่ เธอ และแก็งค์สาว ๆ ถูกลงโทษกักบริเวณ จนนำไปสู่การทะเลาะกันของ เมฟ และ โอลา และนั่นเองทำให้เธอได้ระเบิดเรื่องราวของเธอออกมา..
แจ็คสัน มาร์เซ็ตติ รับบทโดย คีดาร์ วิลเลียมส์-สเตียร์ลิง
นักกีฬาสุดฮ็อตประจำโรงเรียน ผู้ที่เติบโตมาโดยการแบกความฝัน และความคาดหวังของแม่ ที่อยากจะให้เขาเป็นนักว่ายน้ำเอาไว้ และนั่นแหละคือสิ่งที่กดดัน แล้วทำให้เขาเหมือนจะมีปัญหาซักอย่างที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ
แจ็คสัน นั้นแอบชอบ เมฟ และเขาก็ได้ใช้บริการของของ โอทิส ในการปรึกษาว่า จะจีบ เมฟ ยังไงดี (ปรึกษาถูกคนซะด้วยนะ) ซึ่งสุดท้าย โอทิส ก็ช่วยให้ แจ็คสัน และ เมฟ สมหวัง (แบบเจ็บ ๆ) แม้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวของแจ็คสันเอง ก็ไว้ใจ เมฟ และเปิดใจเรื่องที่เขาเองรู้สึกอึดอัดที่ถูกแม่คาดหวัง แต่สุดท้าย ทั้งคู่ก้ต้องเลิกรากันไป เพราะ เขารู้ว่า เมฟ นั้นจริง ๆ แล้วมีใจให้กับ โอทิส ต่างหาก ไม่ใช่เขา
สุดท้ายแม้ว่าเขาจะมูฟออน ออกมาได้ แต่ปัญหาส่วนตัวยังวนเวียนอยู่ในจิตใจ จนเขายอมทำร้าย ข้อมือของตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องว่ายน้ำอีก ตรงนี้จุดนี้ มันคือชัดเจนมาก ๆ ว่า ปัญหาแรงกดดันของพ่อแม่ มันมีอยู่ทุกที และมันรุนแรงเกินกว่าที่ใคร ๆ จะเข้าใจได้จริง ๆ แจ็คสัน คือตัวอย่างที่ชัดเจน เขาอาจจะชอบว่ายน้ำจริง ๆ ก็ได้ แต่บางทีเขาแค่ รับแรงกดดันไม่ไหว จนต้องเลิกชอบมัน
ในความโชคดี ก่อนที่แจ็คสัน จะดำดิ่งไปมากกว่านี้ เขาได้รู้จักกับ วิฟ ผู้ซึ่งกลายเป็นเพื่อนสินท และผู้ที่ช่วยดึงให้เขาขึ้นมาจากความทุกข์ และทำให้ แจ็คสัน มาร์เซ็ตติ ได้ค้นพบว่า เขาชอบการเล่นละครเวที จนนำไปสู่การเปิดใจ และเข้าใจกับแม่ของเขาในที่สุด
ก็คงต้องยอมรับว่า แจ็คสันนั้นน่าสงสารจริง ๆ กับปัญหาที่เขาได้เจอ ในเรื่องของชีวิต และครอบครัว และมันเป็นปัญหาที่ค่อนข้างตรงกับในบ้านเราเลยล่ะ ฉะนั้น นี่คือบทเรียนชั้นดี ในการฝาก หรือให้ลูก ๆ แบกความคาดหวังของพ่อแม่ไว้ เพราะสุดท้าย ผลรับมันอาจเลวร้ายกว่าที่คุณจินตาการไหว ก็ได้
เมฟ รับบทโดย เอมม่า แมคกี้
สาวสุดมั่น ที่ถูกแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ๆ เธอได้เจอกับ โอทิส (ผู้แอบหลงรักเธอ) และทั้งสองได้ช่วยเหลือ อดัม กรอฟฟ์ ให้เอาชนะความวิตกกังวลเกี่ยวกับ สมรรถภาพทางเพศของตัวเองได้สำเร็จ จนทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจ เปิดคลีนิคบำบัดเซ็กส์ แบบลับ ๆ ขึ้นในโรงเรียน โดยเธอมีหน้าที่เก็บเงิน และนัดคิวให้กับ โอทิส
นอกจากโอทส ที่แอบชอบ เมฟ แล้ว ยังมี “แจ็คสัน” หนุ่มสุดฮอตนักกีฬาผู้โดดเด่นประจำโรงเรียน ที่เล็งเธออยู่เหมือนกัน และก็เป็นโอทิสเนี่ยแหละ ที่แนะนำว่า จะเอาชนะใจเมฟ ต้องทำอย่างไร
สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้… เดทกันจริง ๆ แม้สุดท้ายความสัมพันธ์จะพังลง เพราะเมฟนั้นมีใจให้โอทิสก็ตาม และเธอเองก็เตรียมใจที่จะไปสารภาพรักกับโอทิส แต่กลับต้องเจอภาพบาดตา เมื่อเห็น โอทิสจูบกับ โอลา
ซึ่งในตอนหลังนั้น โอลา กับ เมฟ ก็มีปัญหากันอย่างจริงจัง โดย โอลาได้ยื่นคำขาดว่า โอทิส ต้องเลิกคบเมฟ ไม่งั้นก็เลิกกันไปเลย! (แม้สุดท้าย โอลาจะทิ้งโอทิสอยู่ดี) ในขณะเดียวหัน เมฟนั้นก็มีเพื่อบ้าน นามว่า ไอแซค เข้ามาในชีวิต และมาตามจีบเธออยู่เรื่อย ๆ ก่อนจะคบกันในภายหลัง ในขณะที่ความสัมพันธ์ของเธอกับ โอทิส ก็ยังเหมือนเดิม คือ เพื่อนร่วมงาน หลังจาก คลีนิคบำบัดเซ็กส์ได้กลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ชีวิตส่วนตัวของเมฟนั้น ก็มีปัญหามากมาย ทั้งส่วนตัว ทั้งครอบครัว ครั้งหนึ่งเธอเองเคยโดนไล่ออกจากโรงเรียน ก่อนจะกลับเข้ามาจากความสามารถของเธอ นอกจากนี้ เธอยังมีปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อใจในตัวเธอ จากคนรอบข้าง ยกเว้นอาจารย์คนหนึ่งในโรงเรียน ที่มองเห็นความสามารถของเธอและพยายามที่จะผลักดัน
เมฟ อาจจะดูเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองนะ แต่ลึก ๆ แล้ว เธอก็มีความโลเล ความคิดเยอะอยู่ในตัว เธอเองก็ต้องการทั้งเพื่อน และความเชื่อใจเหมือนกัน เพราะจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ ครอบครัว และด้วยความที่ต้องพึ่งพาตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ก้ทำให้เมฟอาจจะดูแข็งกร้าวไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่คุณต้องรู้คือ เธอเป็นอัจฉริยะในด้านของ วรรณกรรม และประวัติศาสตร์เลยล่ะ
เอริค เอฟฟิง รับบทโดย เอ็นคูติ กัตวา
เอริคนั้นเป็นเพื่อนสนิทของ โอทิส เรียกว่าไปไหนไปกัน ทำทุกอย่างด้วยกันมาโดยเสมอ แต่! เอริคนั้น มักจะถูกทางได้ของอดัม กรอฟฟื จอมเกเรประจำโรงเรียน ทำร้ายร่างกาย และกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ แต่สุดท้าย ด้วยความสัมพันธ์ต่าง ๆ และรสนิยมที่เหมือนกัน (ทั้งคู่เป็น LGBT) ก็ทำให้ทั้ง 2 ปิ๊งกันเข้าจนได้ โดยทั้งคู่แอบคบกันแบบลับ ๆ ก่อนที่ ตัวของอดัม จะถูกพ่อผู้ซ฿งเป็นจอมเผด็จการ และอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน ส่งไปเรียน ที่โรงเรียนเตรียมทหาร
ในภายหลังนั้น เอริค ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมกับวง Swing Band แล้วไม่น่าเชื่อว่า จะมีสาวบุกหาเขาทั้งที่บ้าน โดยคาดหวังจะถูกเขาจัดหนัก แต่เจ้ากรรม เมื่อเจ้าตัวสารภาพว่าเป็นเกย์ ทั้งคู่เล่นทำอะไรแบบเพี้ยน ๆ และไร้ยางอายด้วยกัน
ตรงเองมันสื่อให้เห็นนิสัยของ เอริค อย่างชัดเจนว่า เขาเป็นพวกร่าเริงแจ่มใส เข้ากับคนได้ง่าย และใครที่เอริค สินทใจด้วยล่ะก็ เขาพร้อมที่จะเฮฮา ทำอะไรบ้า ๆ เพี้ยน ๆ ไปพร้อมกับคน ๆ นั้น โดยไม่แคร์อะไร ใด ๆ ทั้งสิ้น
ในส่วนของเรื่องความรัก ที่อยู่ ๆ ก็ฮอต เพราะ อยู่ ๆ ก็มีนักเรียนใหม่ อิมพอร์ตตรงมาจากฝรั่งเศส นามว่า ราฮีม และเขาไม่รีรอ สารภาพกับ เอริค อย่างทันที และเอริคเอง ก็ตกลงปลงใจกับความรักครั้งนี้ เนื่องจาก ตัวอดัม ที่เป็นอิสระแล้ว ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนเสียที กับความรักที่มีให้กับตัวของ เอริค แต่สุดท้าย อดัม ก็ได้แสดงความรักออกมาท่ามกลางฝูงชน และทำให้ทั้งสองได้ลงเอยกันเสียที!
แม้ว่า เอริค จะดูสุขสมหวังในความรัก แต่ว่า การที่เขาเป็นเกย์นั้น ไมได้รับการยอมรับจากครอบครัว และเอริคเองก้ได้หงุดหงิดกับเรื่องนี้มาก ๆ เพราะเขาต้องการเป็นที่ยอมรับ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม
เรื่องนี้มันชัดเจนมาก ๆ ในตอนที่ เอริค เดินทางไปไนจีเรีย และจะได้เจอกับญาติ ๆ ของเขา เพียงแต่ว่า เขาต้องปกปิดเรื่องของ LGBT ไว้ไม่ให้คนในครอบครัวได้รับรู้ นั่นแปว่า ครอบครัวของ เอริค ไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้เลย แต่กระนั้นการเดินทางมาไนจีเรียในครั้งนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบในความสัมพันธ์ระหว่าง เขากับอดัมนั่นเอง
อย่างที่บอกไปว่า ลึก ๆ แล้ว เอริค ต้องการเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพสะในเรื่องของเพศสภาพของเขา แม้ว่า เอริค จะเป็นคนที่ร่าเริง และมอบพลังบวกแบบสุด ๆ แต่เขาก้มีความอ่อนแออยู่ในตัวเองเช่นกัน แต่กระนั้น เราจะเห็นได้ว่า เอรคิ คือคนที่มีความชัดเจนในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะ เรื่องของ “หัวใจ”
โอทิส รับบทโดย เอซา บัตเตอร์ฟีลด์
เขาเป็นลูกของนักบำบัดทางเพศและนักบำบัดความสัมพันธ์ และนั่นทำให้เขามีความรู้ และความเข้าใจเรื่องนี้ในเชิงจิตวิทยา (อ่อนภาคปฏิบัต) ซึ่งสุดท้ายโอทิสนำความรู้ตรงนี้ มาใช้เพื่อช่วยบำบัดเซ็กส์และเรื่องของความสัมพันธ์ภายในโรงเรียนของเขา โดยลูกค้ารายแรก (อย่างไม่เป็นทางการ) คือ อดัม กรอฟฟ์ จอมห้าวประจำโรงเรียน ที่มีความคิดที่จะใช้ยาปลุกเซ็กส์กับแฟนของเขา แต่ด้วยคำแนะนำของพระเอกของเรา ไวอากร้า เลยไม่จำเป็นต่ออดัม ซึ่งในที่แห่งนั้นมี เมฟ อยู่ด้วย และเมฟก็ประทับใจในตัวของ โอทิสแบบสุด ๆ ส่งผลให้เธอยื่นดีลให้กับ โอทิส ในการเปิดคลีนิคบำบัดเซ็กส์ในโรงเรียน หรือ Sex Education (อย่างเป็นทางการ)
โอทิสนั้น มีใจกับเมฟ แต่ในเมื่อ แจ็คสัน มาขอคำปรึกษาในการจีบเมฟ เขาก็(จำใจ)ช่วย จนแจ็คสัน และ เมฟได้คบกัน แม้ว่าสุดท้ายความสัมพันของสองคนจะไปไม่รอด แต่ทางเมฟเองก็โกรธโอทิสมาก ๆ เพราะรู้ว่า โอทิส เป้นคนที่ทำให้เมฟ ได้คบกับแจ็คสัน
แม้สุดท้ายทั้งคืนจะหายโกรธกัน แต่โอทิสที่คิดว่า เมฟไม่ได้ชอบต้น ก็ไปคบกับโอลา ซึ่งระหว่างที่ทั้งสองกำลังจูบกัน เมฟก็มาเห็น และความชุลมุนวุ่นรักก็เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ เพราะทางโอลาเอง ก็หึงโอทิส เรื่องของเมฟ และสุดท้ายโอลา ก็ทิ้งโอทิสไป แม้ว่าโอทิสจะยอมตัดสัมพันธ์กับ เมฟ ก็ตาม
และด้วยความเฮิร์ท เขาได้จัดปาร์ตี้ขึ้น และได้ด่า ทั้งโอลา และเมฟ กลางปาร์ตี้ ในชนิดว่าแตกหักกันไปเลย แถมเจ้าตัวยังไปมีความัสมพันธ์แบบลับ ๆ กับ รูบี้ อีก เรียกว่า ชุลมุนชวนงง แบบสุด ๆ กับความวุ่นวายในครั้งนี้
จริง ๆ ตัวของโอทิสนั้น มีอีกหนึ่งปัญหาที่ของต้องกังวลคือ อวัยเพศของเขา ที่มันแข็งตัวมากเกินไป จนทำโอทิสต้องมีเซ็กส์ หรือ แม้แต่ก็ช่วยตัวเองแบบบ่อยมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าตัวเขาเอง กลัว และไม่พร้อมกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ เนื่องจากในวัยเด็กเคยมีปม ที่ได้เห็นพ่อของเขานอกใจแม่ และมันก่อให้เกิดความกลัวในจิตใจ
โดยส่วนตัวแล้ว โอทิส นั้นเป็นคนที่สุภาพ อ่อนโยนนอบน้อม และลาด แต่ในทางกลับกันเขาก็เป็นคนที่ขี้กลัว และมีความวิตกกังวลอยู่ในตัวสูงมาก ๆ แถมยังเข้าสังคมไม่เก่งอีกต่างหาก มันเลยทำให้โอทิส ดูจะมีเพื่อนน้อย เหลือเกิน