“ไม่ใช่สลิง ไม่ใช่ตัวแสดงแทน” สโลแกนสุดคุ้นหูจากการโปรโมทภาพยนตร์ “องค์บาก” ที่ในวันที่ 30 มกราคม 2565 จะครบรอบ 19 ปี พอดิบพอดี ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้คนไทยได้เปิดโลกอะไรหลาย ๆ อย่าง และเป็นการแจ้งเกิดของชายที่ชื่อว่า “จา พนม ยีรัมย์” สุดยอดพระเอกคิวบู๊ของไทยอีกด้วย
องค์บาก เล่นจริง เจ็บจริง ไม่ใช่ตัวแสดงแทน
ภาพยนตร์ที่กำกับโดย “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” และมีนักแสดงอย่าง “จา-พนม ยีรัมย์” “แอร์-ภุมวารี ยอดกมล” และ “เพ็ชรทราย วงศ์คำเหลา หรือหม่ำ จ๊กมก” แสดงนำ กับเรื่องราวของหนุ่มบ้านนอกที่ต้องออกมาตามหาเศียรองค์บากที่ถูกขโมยไปจากหมู่บ้าน
ซึ่งเขาต้องเดินทางเข้ากรุงเทพ และได้ไปเจอกับ บักหำแหล่ หรือที่เรียกตัวเองว่า ยอร์ช (หม่ำ จ๊กมก) พี่ชายคนสนิทที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพื่อที่จะขอให้ช่วยกันตามหาเศียรองค์บาก แต่กลับถูกปฏิเสธ และขับไล่ไสส่ง แต่เมื่อยอร์ชได้เห็นเงินที่ บุญทิ้ง (จา-พนม) พกติดตัวมาก จึงขโมยมาเป็นของตัวเอง
ซึ่งตัวของบุญทิ้งก็ไล่ตามยอร์ชไปจนถึงสนามมวยใต้ดิน และจับผลัดจับผลู ต้องออกโรงสู้เอง และก็ได้โชว์สกิลแม้ไม้มวยไทย ไล่ปราบฝรั่งมั่งค่าจนหมอบไปตาม ๆ กัน ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าเซียนมวยทั้งหลาย
โดยในภายหลังตัวของ บุญทิ้ง ก็ถูกเซียนมวยที่เป็นคนขโมยเศียรพระพุทธรูปประจำหมู่บ้านไปจ้างให้ล้มมวย ก็จะถูกหักหลัง ซึ่งท้าที่สุดหลัง บุญทิ้ง และยอร์ช ก็ต้องสู้แบบสุดความสามารถ เพื่อที่จะทวง “องค์บาก” กลับสู่หมู่บ้านหนองประดู่ของพวกเขาให้จงได้
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเลยว่า เป็นอีกเรื่องที่ทางสหมงคลฟิล์มทุ่มเทสร้างอย่างมาก ทั้งในการถ่ายทำ การโปรโมท รวมถึงปรัชญา ปิ่นแก้วและพันนา ฤทธิไกร อีกหนึ่งยอดนักบู๊ของไทย ก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่ในการปั้น จา-พนม ขึ้นมาเป็นพระเอกนักบู๊ครใหม่ของวงการ
ซึ่งอย่างที่หลายคนรู้ครับว่า เรื่องนี้ตัวของ จา พนม นั้นเล่นฉากบู๊ทุกฉาก ฉากเสี่ยงตายทุกซีน ด้วยตัวเอง ไม่มีสแตนด์อินใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้ที่เป็นจุดขาย และจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ดึงดูดให้คนเข้ามาดูอย่างล้นหลาม ซึ่งมันคุ้มค่าทุกหยาดเหงื่อของทีมงาน
เพราะทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 661,845,999 บาท และส่งให้ตัวของ จา-พนมนั้นโด่งดังเป็นพลุแตก จากลีลาแม่ไม้มวยไทย และคิวบู๊ที่สุดงามดุดัน ซึ่งมันส่งผลให้มีภาพยนตร์อย่าง “ต้มยำกุ้ง” ตามมาในภายหลัง
องค์บากภาคต่อ ที่น่าผิดหวัง
ไม่ใช่แค่ภาคเดียวเท่านั้นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะในภายหลังก็ได้มี ภาค 2 และ 3 ตามออกมา กับเรื่องราวการกำเนิดขึ้นมาขององค์บาก เพียงแต่ภาคต่อมันค่อนข้างจะน่าผิดหวังในแง่ของตัวเนื้อเรื่อง และทีมโปรดักชั่น แต่สิ่งที่ยังคงทำได้ดีคือ คิวบู๊ที่สนุกและสวยงามเหมือนเดิม
แต่กระนั้นภาค 2 ก็สามารถทำเงินทั่วโลกไปได้ถึง 294,069,832 บาท ซึ่งเป็นภาคต่อที่ยังถือว่าดีงามอยู่ระดับหนึ่ง เนื้อเรื่องไมไ่ด้ออกทะเลมากมาย คุมโทนได้ดี ดูมีที่มาที่ไป ไม่รู้ศึกว่ารวบรัด
แต่ภาคที่แย่จริง ๆ คือภาค 3 ที่ทำออกมาได้แย่ในส่วนของเนื้อเรื่อง และการดำเนินเรื่องที่ดำเนินไปแบบรีบ ๆ งง ๆ รวบรัดจนเกินเหตุ และตัวของ CG ก็ทำออกมาดูลอย ๆ ชอบกล และทำเงินไปเพียง 77,014,325 บาทจากทั่วโลก แต่ทุนสร้างนั้นสูงถึง 164,562,500 เลยทีเดียว
แต่ถึงกระนั้นครับ เราเองก็ต้องภาคภูมิใจว่าภาพยนตร์เฟรนไชส์นี้ได้นำเสนอ และอนุรักษ์ศิลปะแม่ไม้มวยไทยของเรา พร้อมกับโปรโมทออกไปทั่วโลก ทำให้ต่างชาติได้รู้จักกับมวยไทยมากยิ่งขึ้นว่ามันสวยงาม และดุดันแค่ไหน
และที่สำคัญคือตัวของ “จา-พนม” ก็ทำให้พวกเราได้ภูมิใจเหลือเกินในวันที่เขาก้าวสู่การเป็นนักแสดงระดับ Hollywood ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์อย่าง The Fast หรือแม้แต่ Monsters Hunter และการพูดภาษาอังกฤษที่สามารถตอบโต้ได้อย่างคล่องแคล่ว จนทำให้เรารู้สึกว้าวกันเหลือเกิน
ซึ่งเรื่องราวดี ๆ แบบนี้พวกเรา Inzpy จะเอามานำเสนออีกแน่นอน และอยากให้ทุกคนติดตามพวกเราเอาไว้ด้วยนะครับ โดยเฉพาะที่ชอบดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมก็แล้วแต่