สายอาร์ตจัดๆ ที่ชอบตั้งแต่ของเก่ายันงานร่วมสมัย ห้ามพลาดงานนี้โดยเด็ดขาด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (หอศิลปเจ้าฟ้า) และ The Art Auction Center ชวนเสพความงามแห่งห้วงเวลาในนิทรรศการ 200 YEARS JOURNEY THROUGH THAI MODERN ART HISTORY ร้อยเรียงเรื่องราวกว่า 2 ศตวรรษของประวัติศาสตร์ศิลป์ ผ่านศิลปะสยามในยุคล่าอาณานิคม (Colonial Era) เคลื่อนสู่ปฐมบทของศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย (Modern Art) จากผลงานจิตรกรรมล้ำค่าของ “ขรัวอินโข่ง” ฝีแปรงและลายเส้นอันเปี่ยมพลังของ “ถวัลย์ ดัชนี” สู่งานศิลป์ของศิลปินยุคใหม่อย่าง “มอลลี่-นิสา ศรีคำดี” (Crybaby) โดยคอลเลกชั่นที่จะมาจัดแสดง ได้แก่
1. จิตรกรรมของขรัวอินโข่ง
พระสงฆ์แห่งวัดราษฎร์บูรณะหรือ “วัดเลียบ” ที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 3 บวชเณรตั้งแต่เด็กจนอายุมากก็ยังไม่ยอมบวชพระจึงถูกเรียกว่า “เณรโค่ง” (เณรตัวใหญ่) ต่อมาคำว่า ‘โค่ง’ เพี้ยนเป็น ‘โข่ง’ ซึ่งมีความหมายเดียวกัน เมื่อบวชเป็นพระจึงถูกเรียกขานว่า “ขรัวอินโข่ง” (ขรัว หมายถึง พระที่มีพรรษาและความรู้มาก) ด้วยใกล้ชิดกับวัดมาตั้งแต่เด็กจึงสนใจงานศิลปะ ช่วงแรกขรัวอินโข่งฝึกฝนงานศิลปะไทยแบบประเพณีนิยม ที่ส่วนใหญ่ยึดแบบแผนดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัย อยุธยา สืบเนื่องมาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ไม่เน้นความสมจริงตามธรรมชาติ ภาพจะดูแบนๆ ระบายด้วยสีเรียบๆ ไม่ใส่แสงเงา หากแต่ขรัวอินโข่งกลับเลือกใช้โทนสีทึมๆ ครึ้มๆ สร้างเป็นบรรยากาศ บรรจงวาดตัวละคร ตึกรามบ้านช่องเป็นแบบตะวันตกทั้งหมด ยกเว้นเพียงธงประจำชาติสยามรูปช้างสีขาวบนพื้นแดงที่โบกปลิวดูเด่นเป็นสง่าอยู่บนเรือกลไฟที่แล่นสู้คลื่น ส่วนประกอบอื่นๆ ในภาพแทบจะไม่มีอะไรที่บ่งบอกความเป็นไทยเลย
2. นารายณ์บรรทมสินธุ์
ผลงานจิตรกรรมของพระเทวาภินิมมิต (ฉายเทียมศิลปไชย) หนึ่งในช่างศิลป์คนสำคัญที่ได้ถวายงานแก่ราชสำนักตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทั้งยังเป็นพระอาจารย์ทางด้านศิลปะของในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2477 เป็นภาพพระนารายณ์ขณะบรรทมมีพระพรหมผุดขึ้นมากลางพระนาภี (สะดือ) ด้านข้างปรากฎภาพพระแม่ลักษมี (พระชายา) ทั้งหมดประทับอยู่บนหลังอนันตนาคราชท่ามกลางเกษียรสมุทร สะท้อนถึงการพัฒนารูปทรงของตัวละครในภาพที่แสดงถึงการเปิดรับหลักการศิลปะตามหลักวิชาของตะวันตก ทั้งในด้านหลักกายวิภาค การสร้างมิติตามหลักทัศนียวิทยา ผสานกับการสร้างบรรยากาศในภาพตามแบบศิลปะตะวันตก ภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์จึงเป็นเสมือนหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของการผสมผสานอิทธิพลจากศิลปะตะวันตกเข้ากับรูปแบบของศิลปะไทยอย่างประณีต
3. Siamese Cupid
ผลงานจิตรกรรมอันทรงคุณค่าและหาชมยากของกาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) ศิลปินที่มีชื่อเสียงของอิตาลี ซึ่งผลงานเป็นที่พอพระทัยของในหลวงรัชกาลที่ 5 จนรัฐบาลไทยเชิญมาทำงานให้ราชสำนักและได้เดินทางข้ามทะเลเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ศิลปินผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านจิตรกรรม เครื่องเคลือบดินเผา ภาพวาดบนกระจกสี รวมถึงงานออกแบบศิลปกรรมเพื่อการตกแต่งสถาปัตยกรรม ผลงานชิ้นนี้สะท้อนการสร้างสัญลักษณ์เป็นภาพตัวแทนตัวละครเทวดาของฝรั่งและเทวดาของไทยมาผสมผสานอยู่ในภาพเดียวกัน
4. Girl With the Red Book
มีเซียม ยิบอินซอย ศิลปินชั้นเยี่ยมคนแรกของประเทศไทย ได้สร้างสรรค์ภาพสีน้ำมันชื่อ “วัยรุ่น” ขึ้นมาราวทศวรรษ 2500 แสดงถึงภาพของหญิงสาววัยรุ่นในชุดสีขาวบริสุทธิ์สะอาดตา นอนอ่านหนังสือล้อไปกับแนวนอนของผืนผ้าใบ โลกของหญิงสาวเปิดออกอย่างสดใสร่าเริงเฉกเช่นหนังสือปกแดงในมือของเธอที่ถูกเปิดอ่าน ท่ามกลางดอกไม้และพืชพันธุ์ที่เบ่งบานรายล้อม
5. Despair Eclipse of Intellect
ผลงานไฮไลท์ขนาดใหญ่โตมโหฬารที่สุดจากยุคบุกเบิกที่หาชมยากที่สุดชิ้นนี้ ถวัลย์ ดัชนี ใช้สีดำระบายบนผืนผ้าใบขนาดท่วมหัวจนทั่วเพื่อรองพื้น จากนั้นจึงใช้เกรียงปาดสีน้ำมันเป็นปื้นหนาๆ ทับลงไปให้เกิดเป็นรูปทรงและแสง ภาพบรรยากาศอันวังเวงภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ถูกบดบังแสงจนมืดดำ มีไก่ยักษ์สองหัว หัวหนึ่งดวงตาเบิกโพลง ชูคอโก่งขันจนสุดเสียงแสดงถึงความตื่นรู้ ขณะที่อีกหัวกำลังจิกกัดผู้คนที่นอนปิดหูปิดตาเอาแขนก่ายหน้าผากอย่างหมดอาลัยตายอยาก สไตล์และสีสันที่ดูสากลมาก
6. พระสังข์ทองกับนางรจนา
จิตรกรรมของ จักรพันธุ์ โปษยกฤต ชิ้นนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2525 ด้วยเทคนิคสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ เป็นภาพตัวละครที่แต่งองค์ทรงเครื่องสวมบทบาทพระสังข์ทองและนางรจนา ฉากหลังเป็นกระท่อมกลางป่า โครงสีของภาพอบอุ่นด้วยบรรยากาศของแสง เครื่องแต่งกายสอดคล้องตามแบบแผนของตัวละครผสมผสานกับรายละเอียดวิจิตรตามจินตนาการส่วนตัวของศิลปิน
7. Memory House
ผลงาน Memory House ของ อเล็กซ์ เฟส-พัชรพล แตงรื่น ศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติจากการออกแบบคาแร็กเตอร์เด็กหญิงสามตาในชุดกระต่าย ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากลูกสาว “น้องมาร์ดี” ตาที่สามสะท้อนมุมของศิลปินที่เฝ้ามองสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ลูกสาวกำลังจะเติบโตไปใช้ชีวิต
8. Cry Me A River
ปรากฏการณ์ Crybaby ของ มอลลี่-นิสา ศรีคำดี สร้างกระแสโด่งดังเป็นพลุแตกให้กับวงการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Popmart ผลักดันให้มอลลี่ก้าวสู่การเป็นศิลปิน Art Toy ที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับอย่างสูงไปทั่วโลก ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นสำคัญที่จัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ โดยโผล่พ้นน้ำขึ้นมาคือส่วนศีรษะ แขนทั้งสองข้าง และขาทั้งสองข้างเท่านั้น กล่าวได้ว่าเป็นผลงานชิ้นหลักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกในประเทศไทยของศิลปิน
นอกจากนี้ ภายในนิทรรศการยังมีผลงานอันทรงคุณค่าและหาชมยากให้เลือกชมนับร้อยชิ้น ชนิดที่หากคุณพลาดโอกาสนี้ก็อาจจะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง นิทรรศการ 200 YEARS JOURNEY THROUGH THAI MODERN ART HISTORY พร้อมเปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2567 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (หอศิลปเจ้าฟ้า) ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์และวันอังคาร)
บทความที่น่าสนใจ
Who’s Cutting Onions? นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของ Tum Ulit
เตรียมตัวไปชม ‘Lightness and Weight’ ผลงานศิลปะแห่งการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์