Update ลู่วิ่งไฟฟ้า พับเก็บได้ ที่ควรค่าแก่การครอบครอง
แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเราอาจเริ่มจะซา… ลงบ้างแล้ว แต่หากสายเฮลตี้ หรือสายวิ่งท่านใด ยังไม่อยากเสี่ยงไปออกกำลังกายนอกบ้าน แต่มีแผนสอง เลือกทางออกโดยการมองหาลู่วิ่งไฟฟ้ามาสนอง need ให้กับตัวเองที่บ้านแทน
ถ้าเป็นเช่นนี้ inzpy ขอทำหน้าที่ พาคุณไปทำความรู้จักกับลู่วิ่งไฟฟ้าสุดปัง ที่มาพร้อมฟังก์ชันพับเก็บตอบรับการประหยัดเนื้อที่ เพื่อเป็นทางเลือกให้คุณ ๆ นำไปพิจารณา ส่วนเครื่องใดจะเด็ดดวงถูกใจคุณแค่ไหน ตามมาดูกันเลย
Kingsmith K15
ประเดิมตัวแรก เริ่มต้นด้วย Kingsmith K15 จาก Xiaomi ลู่วิ่งไฟฟ้าดีไซน์เรียบง่าย สามารถเชื่อมต่อแอปฯ ได้ ถูกใจสายเฮลตี้ เพราะมีฟังก์ชั่นครบ มาพร้อมปุ่มควบคุม/หน้าจอ LED แสดงข้อมูลการใช้งาน ปรับความเร็วได้หลากหลาย (ตั้งแต่ 0.8-15 km/h) เปลี่ยนโหมดวิ่งก็ง่าย สายพานกว้างวิ่งสบาย (48 ซม.) พับเก็บได้อย่างนุ่มนวล เพราะมีระบบพับกันกระแทก สามารถพับเก็บได้แบบ 90 องศา
เก็บไว้ใต้เตียงหรือพิงไว้ข้างกำแพงก็ประหยัดเนื้อที่ มาพร้อมล้อลาก 4 จุด เคลื่อนย้ายง่ายสะดวกไม่ต้องออกแรงยก ที่สำคัญทำงานเงียบ เสียงเบาเพียง 60 เดซิเบล ฐานวิ่งออกแบบมาให้ยืดหยุ่นดูดซับแรงกระแทกได้ดี มือจับแข็งแรงพับเก็บได้ พร้อมมีที่วางมือถือและแท็บเล็ตในตัว สำหรับสร้างความบันเทิงส่วนตัวขณะออกกำลังกาย
Amazfit AirRun Smart Treadmill
ลู่วิ่ง Amazfit AirRun Smart Treadmill ลู่วิ่งไฟฟ้าดีไซน์มินิมอล ที่อัดแน่นไปด้วยฟังก์ชัน เผยสายพานวิ่งกว้างเป็นพิเศษ (50X130 ซม.) มาพร้อมกับสารเคลือบยางกันลื่น ทำให้วิ่งสบายและปลอดภัย แถมมีลำโพง JBL มอบเสียงดนตรีกระจายรอบทิศ พับเก็บง่าย (ใช้เวลาเพียง 5 วินาที) เพราะมีปุ่มกดสั่งพับบริเวณด้านหลังที่วางแขน ลู่วิ่งใช้วัสดุเป็นโลหะ ไร้รอยต่อ สามารถซิงค์ข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจกับนาฬิกา Amazfit ที่สวมใส่ได้ นอกจากนี้ ยังมีการแจ้งข้อมูลเพื่อเตือนการซ่อมบำรุงเมื่อถึงกำหนดเวลาอีกด้วย
OTO Antelope AL-1000 สีขาว
ถ้าชอบลุคสปอร์ต ต้องยกให้ลู่วิ่งพับได้ OTO Antelope AL-1000 รุ่นนี้ (ขนาด 42X120 ซม.) เผยดีไซน์โค้งมน สร้างความความโดดเด่นให้แก่พื้นที่ภายในบ้านได้ในตัว มาพร้อมเทคโนโลยีตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ช่วยให้การวิ่งเป็นเรื่องที่สนุกยิ่งขึ้น ด้วยลำโพงฟังเพลงแบบบลูทูธ ช่องเสียบ USB สำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์ และหน้าจอแสดงผลแบบ LCD รวมถึงสามารถปรับความเร็วได้ 1-12 ระดับ
Z RUN T3 TREADMILL
ลู่วิ่งที่ดีไซน์โดย นักออกแบบชาวอิตาเลียน Innocenzo Rifino และ Diego Rossi เจ้าของแบรนด์ HABITS ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวอักษร Z โดยหน้าจอแสดงผลแบบ LED ออกแบบมาให้สั่งการง่าย ๆ ได้ด้วย Smart plus ปุ่มเดียวที่ปรับความเร็ว และกดเลือกรายการต่าง ๆ ได้เพียงหมุน หรือกดปุ่มเท่านั้น แถมมาพร้อมแอปฯ ที่เชื่อมต่อกับตัวเครื่อง และฟังก์ชัน Personal Trainers ที่ช่วยเก็บข้อมูลการใช้งานและคำนวณโปรแกรมการวิ่งให้เหมาะสมกับผู้ใช้งาน
ที่สำคัญพับเก็บง่าย เพียง 3 ขั้นตอน คือ 1.เหยียบ 2. กดปุ่ม และ 3. ดึงลง แถมเมื่อพับฃแล้ว ลู่วิ่งจะหนาแค่เพียง 33 เซ็นติเมตร แถมการทำงานของมอเตอร์ยังเบาเว่อร์… ให้เสียงดังน้อยกว่า 20 เดซิเบล เท่านั้น
Tempo Treadmill TS1
ลู่วิ่งออกกำลังกายไฟฟ้า Tempo Treadmill TS1 เป็นรุ่นที่ออกแบบได้สลิม เผยดีไซน์มินิมอล เรียบง่ายมั่ก ๆ แถมเข้ากับทุกสไตล์การตกแต่งบ้าน ลู่วิ่งเผยขนาดกะทัดรัด (42×120 ซม.) ปรับระดับความเร็วได้ 1-12 km/h ใช้งานง่าย สะดวกสบายเพียงปลายนิ้วสัมผัสแค่ปุ่มเดียว
มาพร้อมฟังก์ชันระบบรองรับแรงกระแทก เพื่อช่วยเซฟเข่าขณะวิ่ง หน้าจอ LED แสดงผลหลากหลายฟังก์ชัน (ความเร็ว เวลา ระยะทาง แคลอรี และชีพจร) แถมพับเก็บง่าย เหมาะสำหรับวางตั้งใช้งานภายในห้องนั่งเล่น หรือห้องนอนที่มีพื้นที่ขนาดเล็กทีเดียว
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า
1. น้ำหนักตัว สัมพันธ์กับมอเตอร์
น้ำหนักนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับมอเตอร์ของลู่วิ่งไฟฟ้า ดังนั้นควรดูมอเตอร์ของแต่ละเครื่องด้วย ว่ากำลังแรงม้าเท่าไหร่โดยการเลือกมอเตอร์ให้ตรงกับน้ำหนัก มีวิธีการดังนี้ น้ำหนักจริง x 3 และนำไป ÷ 2 ก็จะได้น้ำหนักที่เหมาะสมกับลู่วิ่งนั้น ๆ
เช่น น้ำหนักคุณ 80 x 3 ÷ 2 = 120 Kg น้ำหนักที่คำนวณมาแล้วก็สามารถนำไปเปรียบเทียบสเป็คของลู่วิ่งไฟฟ้าในแต่ละรุ่นได้เลยนั่นเอง
-สำหรับน้ำหนักที่ลู่วิ่งไฟฟ้ารองรับได้ 50 – 80 Kg. ให้เลือกที่มี มอเตอร์ขนาด 2.0 – 2.75 แรงม้า
-สำหรับน้ำหนักที่ลู่วิ่งไฟฟ้ารองรับได้ 80 – 100 Kg. ให้เลือกที่มี มอเตอร์ขนาด 3.0 แรงม้า
-สำหรับน้ำหนักที่ลู่วิ่งไฟฟ้ารองรับได้ 100 – 150 Kg. ให้เลือกที่มี มอเตอร์ขนาด 4.0 แรงม้า
-กรณีน้ำหนักที่ลู่วิ่งไฟฟ้ารองรับได้มากกว่า 150 Kg. ให้เลือกในเกรดสินค้าฟิตเนส เพื่อให้รองรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสม
ถ้าเราเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวเราการทำงานของลู่วิ่งอาจจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เช่น ลู่วิ่งไฟฟ้าวิ่งอืดหรือสายพานกระตุกนั่นเอง เพราะฉะนั้นการเลือกมอเตอร์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
2. จำนวนคนที่ใช้งาน และความถี่ในการใช้งาน
หากซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าเพื่อใช้ในบ้าน การใช้งานบนลู่วิ่งไฟฟ้าจะได้ไม่เกิน 3 – 4 ชั่วโมง/วัน และควรพักเครื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เป็นการดูแลและรักษาเพื่อการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
3. เลือกตามงบประมาณ
ลู่วิ่งไฟฟ้ามีหลากหลายรุ่น และราคาก็จะต่างกัน มีตั้งแต่หลัก 1K – 100K ตามสเป็คเครื่อง เราก็ควรจะพิจารณาจาก 2 ข้อข้างบนเพื่อหาลู่วิ่งไฟฟ้าที่เหมาะสม งบไม่บานปลาย และต้องไม่ลืมถามโปรโมชั่นกับทางร้านค้าและฟังก์ชันที่มี เพื่อประกอบการตัดสินใจนั่นเอง
4. เลือกตามคุณสมบัติ 3 ประการ
เนื่องจากแบรนด์ลู่วิ่งไฟฟ้ามีเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่ายี่ห้อไหนดีและคุ้มค่ากับการใช้งาน คือ
-ต้องเป็นยี่ห้อที่มีมาตรฐานการผลิต โดยดูได้จากจะมีใบรับรอง [Certificate] จากโรงงาน
-ต้องมีใบรับประกันสินค้าที่ระบุการรับประกันชัดเจน
-เลือกซื้อกับร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของยี่ห้อนั้น ๆ และต้องมีการจดทะเบียนการค้าอย่างชัดเจน
5. เลือกร้านที่เชื่อถือได้ และมีบริการหลังการขายที่ดี
หากจะตัดสินใจซื้อเครื่องออกกำลังกายสักเครื่อง นอกจากตัวลู่วิ่งไฟฟ้า (Treadmill) ที่เหมาะสมแล้ว ก็ควรดูเรื่องของการเลือกบริการหลังการขายควบคู่ไปด้วย ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
ข้อมูลอ้างอิงจาก johnson.co.th
อัปเดตคอนเทนต์ใหม่ ๆ ทาง LINE ฟรี
Add friend ที่ ID : @inzpy (มี@นำ)
บทความน่าสนใจ : ออริจิ้น จัด “โปรแร๊ง เกินปุยมุ้ย” ลดสูงสุด 1 ล้านบาท
