สวยเป๊ะไม่เปลี่ยน! วิธีรับมือกับปัญหาผิวหน้าช่วงหน้าฝน : อากาศช่วงหน้าฝนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งร้อนอบอ้าวและมีความชื้นในอากาศสูง นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายผิวแล้ว อากาศที่ชื้นหากรวมกับสิ่งสกปรก เหงื่อ และฝุ่นละอองที่จับตัวบนผิว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลให้ผิวเสื่อมโทรมและส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมา
แพทย์หญิงปณิชา ภูสิริธนาโชติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงามจึงแนะวิธีรับมือกับปัญหาผิวหน้าที่ต้องเผชิญในช่วงหน้าฝนว่า “ช่วงฤดูฝนสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะมีอากาศที่ชุ่มฉ่ำเย็นสบาย แต่ความจริงแล้วความชื้นในอากาศสามารถทำร้ายผิวได้ โดยสภาพอากาศก่อนฝนตกจะเกิดความกดอากาศ ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมา อาทิ
- ผิวแห้ง อักเสบและระคายเคือง สภาพอากาศร้อนชื้นช่วงก่อนและหลังฝนตก ส่งผลให้ผิวขาดสมดุลความชุ่มชื้น มีทั้งความแห้งและความมัน อาจมีผดผื่นร่วมด้วย ส่วนผู้ที่มีผิวแพ้หรือเป็นโรคผิวหนัง อาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ เช่น โรคเซ็บเดิร์ม หรือโรคผื่นผิวหนังอักเสบ
- สิวและผดผื่น ช่วงแรกที่ฝนตกแบบปรอยๆ หากน้ำฝนสัมผัสโดนผิวหน้าก็อาจจะก่อให้เกิดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และผดผื่นได้ เนื่องจากในน้ำฝนจะมีมลภาวะและสิ่งสกปรกเจือปนอยู่มากมาย
- ผิวหมองคล้ำ อีกหนึ่งปัญหาที่มักพบเจอบ่อยช่วงหน้าฝน มักเข้าใจผิดว่าฟ้าครึ้มๆ นั้นไม่มีแดด จริงๆ แล้วรังสี UV สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศลงมาทำร้ายผิวได้ ก่อให้เกิดปัญหาผิวหมองคล้ำ และเสี่ยงต่อการเกิดฝ้ากระและจุดด่างดำได้
วิธีรับมือกับปัญหาผิวหน้าช่วงหน้าฝน
ฉะนั้น การทำความสะอาดผิวหน้าจึงเป็นสิ่งคัญอย่างยิ่งสำหรับช่วงฤดูฝน นอกจากจะเป็นการขจัดสิ่งสกปรกตกค้างแล้วยังเป็นการเตรียมผิวให้พร้อมก่อนรับการบำรุงอีกด้วย การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นการทำร้ายผิวหน้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนการล้างหน้าควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางออกให้หมด เพื่อป้องกันการอุดตันและระคายเคืองผิว
จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง ไม่ควรใช้น้ำอุ่นจัดหรือน้ำร้อนล้างหน้า เพราะน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเกินไปจะชะล้างไขมันตามธรรมชาติที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวเสียสมดุล ก่อให้เกิดผิวแห้งลอก ผิวบาง หรือแสบร้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีผิวแห้ง แล้วตามด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้า โดยนวดวนไปตามแนวรูขุมขน ประมาณ 15-20 วินาที เพื่อให้น้ำและสารทำความสะอาดชะล้างไขมัน คราบสกปรก และคราบเครื่องสำอางที่หลงเหลือให้หลุดออกแล้วค่อยล้างน้ำเปล่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายเนื่องจากสภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
การกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพด้วยการสครับผิวหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ ควรเลือกผลิตภัณฑ์สครับชนิดที่มีความอ่อนโยนต่อผิว ตามด้วยการปรับสภาพผิวและกระชับรูขุมขนก่อนการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวด้วยการใช้โทนเนอร์เช็ดผิวทุกครั้งหลังการล้างหน้า และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มอบความชุ่มชื้น อุดมไปด้วยสารอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) อย่าง Rice callus culture extract ช่วยลดการอักเสบและการระคายเคือง Shea Butter และ Organic Evening Primrose ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น Rice Bran Oil ที่อุดมด้วยวิตามิน อี (Gamma Oryzanol) ทำหน้าที่เป็นสารแอนตี้ออกซิเดนซ์ ทรงประสิทธิภาพ และช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นให้ผิวแข็งแรง รวมถึงทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีค่าป้องกันแดด SPF30 PA+++ ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ แม้ในวันที่ฟ้าครึ้มหรือฝนตก เพราะรังสี UVA สามารถซึมทะลุชั้นบรรยากาศลงมาทำร้ายผิวได้แม้ไม่มีแสงแดด
นอกจากการบำรุงผิวภายนอกแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การดูแลตัวเองจากภายในควบคู่ไปด้วย ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ปลาทะเล ผัก ผลไม้ ธัญพืช ผลไม้ตระกูลเบอรี่ และชาเขียว รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด และระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกาย เพราะการดูแลตัวเองที่ถูกต้องควรจะใส่ใจให้ครบทุกด้าน
Photo: Pexels
บทความที่เกี่ยวข้อง
เคล็ด(ไม่)ลับ เพื่อผิวสวยใสฉ่ำวาว สไตล์เกาหลี
“พลังเจนเอไอ” บิวตี้เทคสุดล้ำ ที่นำพิมพ์ชีวภาพมาสร้างผิวหนังจำลอง