แฟชั่น (Fashion) กับ ชุมชน (community) และความยั่งยืน (Sustainability) ดูเหมือนคำสองกรุ๊ปนี้จะโคจรมาหากันได้ยากในโลกที่ระบบทุนนิยมครองเมือง เพราะมิติที่ลึกซึ้งของแฟชั่น เน้นการเปลี่ยนแปลงเร็ว มาไว ไปเร็ว ตอบสนองทุนนิยมที่เน้นการบริโภคไม่หยุดหย่อน เราก็เลยได้เห็นข่าวขยะแฟชั่นอยู่บ่อยๆ เพราะมันล้นเมืองไง ในขณะที่การพัฒนาชุมชนและความยั่งยืน จะเน้นความต่อเนื่องยาวนาน ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับยุคสมัยแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่โฉ่งฉ่าง
แล้วถ้ามีแบรนด์แฟชั่นที่กล้าจับเอาคำสองกรุ๊ปนี้มาไว้ด้วยกันล่ะ อย่าง “Fashion for community” ก็เป็นความท้าทายที่น่าจับตามองมากทีเดียว หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นไทยที่สปอตไลท์กำลังส่อง เพราะจับประเด็นนี้อยู่ ต้องยกให้แบรนด์ “Pipatchara” ที่ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง “ทับทิม-จิตริณี กับ เพชร-ภิพัชรา แก้วจินดา”
แม้แจ้งเกิดได้เพียง 6 ปี แต่กลับสร้างชื่อดังไกลไปถึงระดับโลก ด้วยคอนเซปต์แบรนด์แสนเก๋ อย่าง “Fashion for community” ที่ไม่ได้มาจากความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจที่แลกมาด้วยความทุ่มเทของทั้งคู่ จนกลายเป็นที่มาของผลงานซึ่งทุกชิ้นนอกจากจะเน้นดึงให้คนในชุมชนมามีส่วนร่วมแล้ว ยังมีคอลเลกชันที่นำพลาสติกมาอัปไซเคิลอีกด้วย
เพชร ภิพัชรา หนึ่งใน Co-Founder ของแบรนด์ “Pipatchara” เล่าถึงนิยามของเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ทั้งรักษ์โลกและแคร์ชุมชน ว่า
ก่อนจะมาทำแบรนด์ของตัวเอง เธอจบการศึกษา Fashion Design จาก Academy of Art University สหรัฐอเมริกา และเป็นนักเรียนทุนที่ École de la Chambre Syndicale de la Couture Parisienne ปารีส หลังเรียนจบเธอได้ทำงานด้านแฟชั่นดีไซน์ที่ฝรั่งเศส 5-6 ปี และเคยร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลก ทั้ง Givenchy และ Chloe อีกด้วย
พอกลับมาเมืองไทย ไอเดียจะทำแบรนด์แฟชั่นก็เปลี่ยนไป สู่การเน้นชูวัตถุดิบ อย่าง “หนัง” จึงไปชวนพี่สาวมาเป็นหุ้นส่วนด้วย แต่ด้วยความที่พี่สาวสนใจเรื่องชุมชนและความยั่งยืนอยู่แล้ว เลยขอว่าถ้าจะทำแบรนด์ อยากจะทำอะไรเพื่อสังคมและชุมชน
“โจทย์มันเปลี่ยนค่ะ พอมีโจทย์แบบนี้เข้ามา เราเลยตั้งใจว่า อยากนำความเป็นศิลปะ (Art) และงานฝีมือ (Craft) เข้าไปให้ความรู้คนในชุมชน โดยเริ่มจากการลงพื้นที่แม่ฮ่องสอน เพราะตอนนั้นพี่สาวเป็นจิตอาสาให้มูลนิธิ SATI (สติ) ซึ่งกำลังมีโปรเจกต์นำเครื่องกรองน้ำไปให้ชุมชนพอดี เราและพี่สาวจึงตามไปลงพื้นที่
“เราไม่ได้อยากเข้าไปทำโปรเจกต์เดียวแล้วจบ แต่อยากสร้างความเป็นพี่เป็นน้อง ที่มีความต่อเนื่องกับชุมชน ดังนั้น เลยต้องลงไปศึกษาให้แน่ใจก่อนว่า จะเข้าไปช่วยสร้างประโยชน์ให้ชุมชนได้จริงหรือเปล่า ที่สำคัญคือ คนในชุมชนต้องการสิ่งที่เราทำอะไรให้หรือไม่”
ผลจากการลงชุมชนทำให้เพชรและพี่สาว ได้พบกับทีมงานชุดแรก ซึ่งเป็นคุณครูในชุมชน 8 คน ที่สนใจมาฝึกทักษะการถักแบบ มาคราเม (Macrame) หรือการถักเชือกหนังเส้นยาวๆ ให้ออกมาเป็นลวดลายที่สวยงามรูปแบบต่างๆ เป็นงานศิลปะที่มีต้นกำเนิดจากอาหรับ เพื่อเป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากการสอนหนังสือ หลังจากถักเสร็จ ทีมงานในชุมชนจะจัดส่งกลับมาให้ทางแบรนด์นำชิ้นงานไปทำงานต่อ
“สิ่งที่เราสัมผัสได้จากการทำงานกับชุมชนคือ เขารู้สึกดีที่ได้ทักษะ ทำให้รู้ว่าตัวเองทำงานฝีมือได้ เพชรว่างานอาร์ตเป็นการบำบัดจิตใจอย่างหนึ่ง ทำให้เรามั่นใจว่าเราก็ทำได้ เหมือนที่คนบอกว่าวาดรูปไม่เป็น จริงๆ เพชรว่า ไม่จริงหรอก เพราะต่อให้เราวาดอะไรออกมา ก็เป็นงานอาร์ตอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับแบรนด์ของเรา เราไม่ได้ต้องการสร้างชุมชนให้มาถักทอสินค้าให้เรา แต่เราอยากชวนให้ชุมชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในงานอาร์ตของเราให้มากที่สุด”
หลังจากประสบความสำเร็จจากชุมชนแรก เพชรก็ขยายคอนเซ็ปต์การให้ความรู้ชุมชนต่อไปที่เชียงราย ซึ่งเป็นโลเคชั่นของพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายกว่า ทำให้การทำงานกับชุมชนมีความคล่องตัวกว่าที่แม่ฮ่องสอน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางถึง 2 ชั่วโมงในการเดินทาง
จากผลงานกระเป๋าหนังที่มาจากการมีส่วนร่วมของชุมชน มาถึงอีกหนึ่งคอลเลกชันที่จุดพลุให้แบรนด์ “Pipatchara” เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์กระเป๋ารักษ์โลก อย่าง คอลเลกชัน ‘Infinitude’ ซึ่งแรงบันดาลใจมาจากพี่สาวของเธอนั่นเอง “จริงๆ พี่สาวก็พูดเรื่องความยั่งยืนมาตลอด แต่ที่ผ่านมา เราอาจจะยังรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับเราโดยตรง เพราะถ้าถามว่าเราเองเป็นสายรักษ์โลกมั้ย ส่วนใหญ่ที่บ้านจะเน้นการแยกขยะตามประเภทใหญ่ เช่น แก้ว พลาสติก กระดาษ และขยะอาหาร จนมาช่วงโควิด-19 ที่งานทุกอย่างฟรีซ เลยมีเวลามาศึกษามากขึ้น จึงพบว่าโรงงานขยะในเมืองไทยมีการจัดการขยะที่ดีมากๆ มีการแยกขยะตามประเภทวัสดุและสีเรียบร้อย ซึ่งฝาขวดน้ำมีสีที่หลากหลายให้นำไปต่อยอดได้เยอะมาก เลยได้แรงบันดาลใจว่า จะนำขยะพลาสติกรีไซเคิลที่ถูกมองว่าไร้ค่ามาทำเป็นกระเป๋า”
ผลจาการศึกษาอยู่ร่วม 2 ปี เพื่อคิดค้นการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ เพื่อปั๊มออกมาเป็นรูปทรง ก่อนจะส่งต่อไปเชียงรายเพื่อต่อให้เป็นกระเป๋าตามแพตเทิร์นที่ออกแบบไว้ แล้วค่อยส่งกลับมาเพิ่มดีเทลหนังจากอิตาลีทั้งหมด ด้วยกระบวนการที่ค่อนข้างเยอะขั้นตอนนี่เอง ที่ทำให้ในตอนแรกเธอไม่ได้คิดว่าจะทำขายจริงจัง แต่อยากโชว์เคสให้เห็นว่าพลาสติกรีไซเคิลสามารถทำเป็นกระเป๋าได้ แต่ปรากฏว่าพอทำออกมาแล้วได้รับฟีดแบคดี กลายเป็นว่า นอกจากจะได้ช่วยเหลือชุมชนยังได้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม นำพลาสติกที่ไม่มีใครต้องการมาต่อยอดให้มีมูลค่า
“ลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์ “Pipatchara” ไม่ใช่สายแฟชั่นจ๋า แต่เป็นกลุ่มนิช ที่ไม่เหมือนคนอื่น มองหาไอเทมที่มีคุณค่าทางจิตใจ ให้สำคัญกับงานอาร์ตแอนด์คราฟต์ พวกเขารู้สึกว่าไอเทมที่ใช้ไม่ใช่แค่ของแฟชั่น แต่ต้องมีสตอรี่ และทำให้รู้สึกดีกับของที่ใช้ นอกจากนี้ ด้วยความที่เราทำงานกับโรงงานขยะโดยตรง ฉะนั้น ขยะพลาสติกของเราจะมาจากครัวเรือน ซึ่งเราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า อยากได้ฝาสีไหนมาทำกระเป๋า หรือวางแผนได้เลยว่าสีไหนจะมีกี่ใบ ลูกค้าจึงต้องมาลุ้นที่หน้าร้านเอง”
สำหรับเป้าหมายของแบรนด์นั้น คือคงความเป็น Fashion For Community ที่อยู่ได้นานที่สุด อยากให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
“6 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น เรามีจุดยืนชัดเจนว่า เราไม่ไช่แบรนด์แฟชั่นที่ต้องออกของเป็นซีซันส์ หรืออัปเดตเทรนด์ตลอด แต่เราพยายามรักษาทุกอย่างไว้ให้นานที่สุด อย่าง กระเป๋าคอลเลกชันตั้งแต่ปี 2018 หรือ 2020 ก็ยังอยู่ เพราะในการพัฒนาเราใช้เวลาเยอะ อนาคตอาจจะไปคอลแลบส์กับแบรนด์อื่นเพื่อสร้างอิมแพคที่มากขึ้นค่ะ” เพชรกล่าวทิ้งท้าย
บทความที่เกี่ยวข้อง
PIPATCHARA เปิดตัวคอลเลกชันกระเป๋ารักษ์โลก จากขยะพลาสติกรีไซเคิล 100%
ส่องลุค INFINITUDE COLLECTION จาก PIPATCHARA ที่เซเลบเลือกใส่
——-
ติดตาม Inzpy ได้ที่
Website:
https://inzpy.com/
Facebook:
https://www.facebook.com/inzpyth
Instagram:
https://www.instagram.com/inzpy.official
TikTok:
https://www.tiktok.com/@inzpy
Youtube:
https://www.youtube.com/c/Inzpy
ฝากกดฟอล กดไลก์ กดแชร์เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะคะ