เล่าประสบการณ์เดินป่าใต้ครั้งแรก “เขาเหมน” นครศรีธรรมราช
เขาเหมน จังหวัดนครศรีธรรมราช สำหรับเราในวันนั้น เป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยเลยจริง ๆ ค่ะ เราเป็นมือใหม่สำหรับการเดินป่ามาก ๆ เพิ่งมีประสบการณ์แบกเป้ เดินป่าเอง เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ครั้งนี้เราเลือกลงใต้ไปเดินป่า ซึ่งถือว่ายากกว่าเส้นทางเดินป่าในภาคอื่น ๆ เพราะป่าใต้นั้นสามารถเจอฝนได้ตลอดเวลาเลยค่ะ ส่วนเหตุผลที่เราตัดสินใจไป ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์กับป่าใต้เลย ก็เพราะโดนเพื่อนทักมาชวนนั่นแหละค่ะ ทุกครั้งที่ไปเดินป่า แทบไม่ได้เลือกเองเลย ใครทักมาชวนก็ไป ฮ่าฮ่า เป็นคนใจง่ายสุด ๆ เลยล่ะค่ะ
หลังจากเราตัดสินใจจองทริปแล้ว ก็แทบไม่มีเวลาได้ดูรีวิวเลย เรารู้แค่ว่า เส้นทางนี้เดินแค่เพียง 3.5 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งเราเองเคยแบกเป้เดินที่สันหนอกวัวมาแล้ว ที่นั่นมีระยะทาง 9 กิโลเมตร ก็เลยคิดเอาเองว่า มาเดินที่นี่คงจะสบาย ๆ จึงไม่ได้เตรียมตัวเรื่องการออกกำลังกายเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรลอกเลียนแบบนะคะ แนะนำว่าควรออกกำลังกายก่อนเดินป่าอย่างน้อย ๆ ซัก 1 เดือนก่อนไป
มาดูการจัดกระเป๋ากันค่ะ อย่างที่บอกว่าป่าใต้นั้น มีโอกาสเจอฝนได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมจากการจัดกระเป๋าปกติก็คือ ต้องเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ใส่ในถุงดำอีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่จะจัดลงในกระเป๋า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เปียก ในกรณีที่ฝนตกลงมา เป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง เพื่อความสบายใจค่ะ แม้ว่ากระเป๋าเป้เราจะกันน้ำ แต่มันไม่สามารถกันได้ 100% แน่นอนค่ะ
ถึงวันเดินทาง เราเริ่มต้นกันที่สนามเป้าค่ะ นั่ง ๆ นอน ๆ หลับ ๆ ตื่น ๆ บนรถตู้แบบยาว ๆ เลยค่ะ ตั้งแต่ 2 ทุ่มตรง เราไปถึงตลาดโต้รุ่ง ทุ่งสง ตอน 07.00 น. แวะทานอาหารเช้า และเตรียมอาหารกลางวันเพื่อไปทานระหว่างเดินกันค่ะ จากนั้นเราก็เดินทางกันไปยังจุดนั่งรถที่น้ำตกคลองจัง
เมื่อมาถึงน้ำตกคลองจังแล้ว เราก็ทำการล้างหน้า ล้างตา เข้าห้องน้ำ จัดกระเป๋า และขึ้นรถกระบะของเจ้าหน้าที่เพื่อไปที่จุดเริ่มเดินกันค่ะ ใครที่จะฝากของให้ลูกหาบแบกไป ก็ฝากกันได้ที่จุดนี้เลยค่ะ ค่าแบก 50 บาทต่อกิโลกรัม ลูกหาบหนึ่งคนแบกได้ 15 กิโลกรัม เส้นทางจากน้ำตกไปยังจุดเริ่มเดิน เป็นทางขึ้นเขาที่ชันมากกกกกก และเป็นเส้นทางที่รถไม่สามารถสวนกันได้ เพราะฉะนั้นอาจจะต้องรอรถค่อนข้างนานหน่อยนะคะ เราได้เริ่มเดินกันตอน 10 โมงเช้าเลยค่ะ
สำหรับเส้นทางการเดินนั้น ต้องบอกว่า ค่อนข้างโหดเลยค่ะ แค่เริ่มปุ๊ปก็เจอทางชันปั๊ปเลย เป็นระยะทาง 3.5 กิโลเมตรที่แทบจะไม่มีทางราบเลยค่ะ น้อยมาก ๆ มีแค่ทางชันมาก กับชันน้อยแค่นั้นเอง ทางเดินช่วงแรกก่อนถึงจุดพัก จะเป็นทางเดินในป่าที่เป็นทางดินซะส่วนใหญ่ ยังเดินไม่ยากมากเท่ากับช่วงที่สองค่ะ
เมื่อเราผ่านจุดพักมา นั่นหมายความว่าเราผ่านมาได้ครึ่งทางแล้วนะคะ ตรงจุดพักจะเป็นลานให้สามารถนั่งทานข้าวได้ เป็นจุดเดียวที่มีลานนะคะ แนะนำว่าแวะทานกลางวันกันตรงนี้เลย เพราะจุดอื่นแทนจะไม่มีที่นั่งแบบนี้เลยค่ะ แล้วก็จะมีจุดที่เป็นลำธารน้ำไหล สามารถมากรองน้ำดื่มตรงนี้ได้
ผ่านจุดพักไปก็จะเป็นช่วงที่สอง ซึ่งยังคงความชันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ เป็นทางเดินที่มีแต่หิน และรากไม้ เพิ่มความเดินลำบากเข้าไปอีก เดินไปสักพัก ก็จะพบกับลานหินก้อนโต ๆ ซึ่งเป็นจุดที่เราต้องปีนขึ้นไปกันค่ะ จุดนี้เป็นจุดที่เราสามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้แบบ 180 องศาสวยมาก ๆ เลยค่ะ และเป็นจุดที่เพื่อนในกรุ๊ปของเราเจอกล้วยไม้รองเท้านารีด้วยค่ะ
ขึ้นมาถึงจุดนี้ ใคร ๆ ก็คิดว่าคงใกล้ถึงแล้ว เพราะมันเหมือนจุดที่เป็นยอดของเขาแล้ว ไม่น่าจะมีทางชันต่อ แต่ขอบอกว่า คุณคิดผิดจ้า ยังอีกยาวไกลเลย และยังมีทางชันต่อเนื่องไปอีก ไปค่ะ เดินกันต่อ เดินผ่านป่ารก เดินผ่านป่าไผ่ ไปอีกสักพักนึงเลยค่ะ กว่าจะถึงจุดกางเต็นท์ เรียกว่าแทบหมดแรงเลย
จุดกางเต็นท์ของที่นี่ มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดมาก ๆ และโดยส่วนมากจะเป็นพื้นที่ที่ลาดเอียง กางเต็นท์นอนค่อนข้างลำบากค่ะ ถ้าใครเตรียมเปลมาผูกนอน จะนอนได้ค่อนข้างสบายกว่า และด้านบนนี้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลยนะคะ ทำธุระส่วนตัวในป่าเท่านั้น น้ำดื่มต้องใช้ที่กรองน้ำไปกรองที่ลำธารเพื่อมาใช้กันค่ะ เป็นการเดินป่าแบบป่าจริง ๆ ค่ะ ให้ความสนุกไปอีกแบบ
ใครที่อยากดูพระอาทิตย์ตกดิน สามารถดูได้ 2 จุดนะคะ ดูจากที่จุดกางเต็นท์ได้เลย หรือจะขึ้นไปดูที่จุดชมวิวด้านบนก็ได้ค่ะ เดินขึ้นไปอีกราว ๆ 15 นาทีก็ถึงค่ะ เป็นทางชันล้วน ๆ เหมือนเดิม เดินขึ้นไปสักพัก จะมีทางแยกซ้ายกับขวานะคะ แยกทางซ้ายไปดูพระอาทิตย์ตก แยกทางขวาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ
วันที่เราไป เป็นวันที่เหมาะกับการถ่ายภาพทางช้างเผือกมาก ๆ ซึ่งสามารถเริ่มถ่ายได้ตั้งแต่ช่วงตีหนึ่ง ไปจนถึงตีห้าเลยค่ะ ไม่ต้องเดินไกลด้วย ถ่ายได้จากลานด้านหน้าจุดกางเต็นท์ของเราได้เลย ซึ่งพี่ ๆ ในทริปของเราเตรียมแบกกล้องขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และได้รูปสวย ๆ มากันหลายใบเลยค่ะ บริเวณลานนี้น้องจากชมวิวพระอาทิตย์ตก ถ่ายทางช้างเผือกแล้ว ยังสามารถมองลงไปเห็นตัวเมืองทุ่งสงในยามค่ำคืนอีกด้วย
ช่วงเช้าเราเริ่มตื่นกันตอนตีห้า เพื่อเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น จะมีป้าย “ยอดเขาเหมน” ที่ทุกคนต้องมายกป้าย ถ่ายรูปกันนะคะ เพื่อให้โลกได้รู้ว่า ฉันมาถึงแล้ววววว ได้รูปเรียบร้อย ก็ถึงว่าเวลาลงไปทานอาหารเช้า เก็บสัมภาระ และเดินกลับกันค่ะ
ทางเดินกลับจะเป็นเส้นทางเดิมเลยนะคะ เดินขึ้นว่ายากแล้ว เดินลงยากกว่าค่ะ ขาสั่นพั่บ ๆ ใครที่ไม่ได้ออกกำลังกายมา รับรองว่าปวดหน้าขาแน่นอน ทะเลาะกับบันไดไปอีก 3-4 วันเลยค่ะ เมื่อมาถึงด้านล่างแล้ว เราก็กลับมายังน้ำตกคลองจัง อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางกลับกรุงเทพฯ กันค่ะ
สำหรับการเดินป่าใต้ในครั้งนี้สำหรับเรา ขอให้นิยามว่า เหนื่อยแต่สนุกค่ะ ได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แม้เราจะไม่เจอฝนเลยก็ตาม ป่าที่เขาเหมนนี้ เป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่เยอะมาก ร่มรื่น แต่ร้อนอบอ้าวพอสมควรค่ะ ตลอดทางเดินแทบไม่มีลมพัดเลย แต่จุดกางเต็นท์ด้านบนมีลมตลอดทั้งคืนนะคะ ใครที่อยากได้ประสบการณ์เดินป่าแบบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ เลย เส้นทางไม่ยาว แต่ชันมาก ๆ แนะนำว่าให้ไปที่นี่เลยค่ะ สนุกแน่นอน
ขอขอบคุณรูปภาพสวย ๆ จากเพื่อนร่วมทริปนะคะ