More

    รู้จัก “ท็อป ทศพล หมายสุข” ตัวร้ายหน้าหล่อจาก “หลวงพี่เท่ง Come Back” แล้วจะหลงรักกว่าเดิม

    ในช่วงนี้จะมีใครฮอตเท่ากับนักแสดงหนุ่มหล่อ “ท็อป ทศพล หมายสุข” อีกบ้างหรือไม่ เพราะภายในเวลาไม่ถึงเดือน ท็อปมีหนังมีหนังที่เขาร่วมแสดงเข้าฉายติดๆ กันถึง 2 เรื่อง เริ่มจากหนังแฟรนไชส์คอเมดี้ชื่อดัง “หลวงพี่เท่ง COME BACK” ที่นำร่องโกยรายได้เป็นกอบเป็นกำไปก่อนล่วงหน้า ตามด้วยสัปดาห์นี้ ที่มี “ธี่หยด 2” เรื่องราวภาคต่อสุดสยองขวัญและหน้าหล่อๆ ของพี่ยักษ์ และถัดไปปลายปีจะมีอีกหนึ่งเรื่อง ได้แก่ “วัยหนุ่ม 2544” เรียกได้ว่า จากวันนี้ถึงปลายปี เข้าโรงภาพยนตร์เมื่อไหร่เราจะได้เห็นท็อปบ่อยขึ้น

    Top1

    “อย่าเรียกว่าฮอตเลยนะครับ ต้องเรียกว่าขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่ให้โอกาสผมดีกว่าครับ ขอบคุณผู้ใหญ่ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัวผม และไว้ใจให้เราได้ร่วมงานด้วย”

    ท็อปตอบแบบเขินๆ

    สำหรับหนังทั้ง 3 เรื่อง ที่มีคิวลงโรงฉายไล่เลี่ยกันนี้ ท็อปเสริมว่า “ทั้ง 3 เรื่องถ่ายจบไปหลายเดือนแล้วนะครับ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีกําหนดฉายเมื่อไหร่ แต่ดันมาฉายใกล้ๆ กันช่วงนี้ ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดีครับ”

    ในสามเรื่องนี้ บทเด่นสุดของท็อป ต้องยกให้ “หลวงพี่เท่ง Come Back” ที่ท็อปบอกว่า โตมากับหนังเรื่องนี้ “ตอนแรกที่พี่โน้ตจูเนียร์โทรฯ มาชวน ตื่นเต้นครับ ผมเคยทํางานกับพี่โน๊ตจูเนียร์ประมาณสอง 2-3 ครั้ง  แล้วก็เคยร่วมงานกับป๋าโน้ตแค่ครั้งเดียว แต่กับพี่เท่งยังไม่เคยเลยครับ พอมีโปรเจกต์นี้ พี่โน้ตจูเนียร์ทักมาว่า เฮ้ยท็อปมีบทตัวหนึ่งข้านึกถึงเอ็งมาก ไม่ได้มองใครไว้เลย เอ็งสนใจไหมลอง? อ่านบทก่อนก็ได้

    พออ่านบทเสร็จปุ๊บ ผมรู้สึกว่า จะทําได้มั้ยนะกับบทบาทประมาณแบบนี้ เพราะยังไม่เคยเล่นมาก่อนนะครับ มันเป็นคาแรกเตอร์สีเทาๆ จะดีก็เหมือนจะดี แต่ก็ไม่ดี จะร้ายสุดๆ เลย ก็ไม่ได้ขนาดนั้น พอได้มาคุยกับป๋าโน้ตและพี่โน้ตจูเนียร์ ผมก็ตอบตกลงรับแสดง จะพยายามทําให้ดีที่สุด ตอนไปดีเวลลอปกับพี่เท่ง ช่วยกันอ่านบทครั้งแรกก็ปรับอะไรให้มันสมจริงมากขึ้น คุ้นชินกับตัวละครมากขึ้น”  

    เมื่อกี้ท็อปบอกว่าโตมากับหนังเรื่องนี้ แสดงว่า “สำหรับผมคิดว่า “หลวงพี่เท่ง”  น่าจะเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์คอเมดี้ ที่ใช้คําว่าคนไทยทุกคน เด็กทุกคนต้องโตมากับหนังแฟรนไชส์คอเมดี้เรื่องนี้นะครับ ส่วนผมดูตั้งแต่ภาคแรก ตั้งแต่พี่เท่งเล่นเองจนไปถึงภาคต่อที่มี พี่โจอี้บอย แสดงนำ และภาคสาม ที่ได้ พี่น้อย (วงพรู) พี่แอ็ด (คาราบาว) แสดงนำ เรียกได้ว่าดูครบครับ แล้วก็ไม่เคยคาดคิดด้วยว่าวันหนึ่งเราจะได้เข้าไปอยู่ในหนังแฟรนไชส์คอเมดี้เรื่องนี้ครับ”

    อ่านบทก็เรื่องนึง แต่พอต้องมาประชันบทกับตลกรุ่นใหญ่จริงๆ ท็อปเล่าว่า “เกร็งมาก เกร็งแบบเกร็งสุดๆ เลยครับ แต่ว่าในความเกร็งนั้น พอได้ไปนั่งรีดทูอยู่ในห้องเดียวกับป๋าโน้ตกับพี่เท่ง สิ่งที่ผมเห็น นี่คือตํานานของตลก เก่งมากจริงๆ ทั้งสองท่านนะครับ ทั้งพี่เท่งและป๋าโน้ตเวลาอ่านบทเค้าจะดีเวลลอปตลอดเวลา

    เหมือนเค้าเห็นภาพในหัวชัดมาก ไม่ว่าจะเป็นบทพูดเอย หรือเรื่องราวที่เป็นตัวละครต่อตัวละครในทุกๆ ซีน มีการดีเวลลอป มีการปรับให้สมจริงยิ่งขึ้นสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น จุดนี้มีที่มาที่ไปยังไง จุดนี้มันควรจะตลกแบบนี้ไหม จุดนี้มันควรจะเฉลยเลยรึเปล่า ทั้งสองท่านคือเก่งมาก ผมเห็นและอยู่ในนั้น ได้ยินกับหู เห็นด้วยสองตา ทั้งคู่เก่งมากจริงๆ ครับ”

    Teng2

    ท็อปก็เคยชมหลวงพี่เท่งมาตั้งแต่ภาคแรก และวันนี้เรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ กดดันหรือไม่ ถ้าผู้ชมจะเอาไปเปรียบเทียบระหว่างความสำเร็จในอดีตกับปัจจุบัน ท็อปตอบทันทีว่า 

    Top2

    “ส่วนตัวผม ถามว่ากดดันไหม ผมว่าถ้าผมกดดันนะ ทีมงานทุกคนน่าจะกดดันมากกว่า เพราะอย่างตัวพี่เท่งเอง เขาใช้คําว่านี่เป็นลายเซ็นของเขา ฉะนั้นผมว่าถ้าผมกดดัน พี่เท่งคงกดดันมากกว่า ผมเชื่อว่าหนังคอมเมดี้ทุกเรื่องถูกความคาดหวังหมด แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้มีบทสรุป เส้นตายหรือสูตรว่าการทําแบบนี้ มุกนี้ แล้วจะซัคเซส จะสร้างอิมแพคกับคนดู จะทัชคนดูหรือไม่ 

    สำหรับผม ถ้าคนดูให้แค่ความสนใจ เข้ามาดูโดยไม่ต้องมาคาดหวังอะไรเยอะขนาดนั้นแต่คาดหวังว่าจะได้รอยยิ้ม ได้เสียงหัวเราะ คาดหวังแค่ เฮ้ยหลวงพี่เท่งกลับมาแล้วนะ มาดูกัน ผมว่าแค่นั้นคนทํา ทีมงานทั้งหมด ก็น่าจะอิ่มเอม น่าจะฟูลฟิลแล้วแหละ

    เพราะว่าจุดประสงค์คงไม่ได้บอกว่าอยากให้หนังเรื่องนี้ทําออกมาแล้ว เราต้องมาพัฒนากรมศาสนากันนะ  เรามาพัฒนาชีวิตกันนะ คงไม่ได้เจาะจงแบบนั้น แต่ที่แน่ๆ หนังสร้างเพื่อความบันเทิงให้มาดูแล้วรู้สึกบันเทิง ผมว่าแค่นี้ทีมงานก็ประสบความสำเร็จมากพอแล้วละครับ”

    ฉะนั้นความสนุกของ “หลวงพี่เท่ง Come Back” คือ “ความสนุกจริงๆ ผมว่าพอแฟรนไชส์เรื่องนี้กลับมานะครับ คําว่า  หลวงพี่เท่ง Come Back ที่พอหลายคนได้ยินก็จะต้องรู้สึกแล้วแหละว่า โอเค มีหนังอีกหนึ่ง genre กลับมาแล้ว ผมว่าสิ่งที่ได้รับกลับมา ‘ได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแน่นอน’ แล้วก็น่าจะได้เห็นการเติบโตของสังคมไทยด้วย

    เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ณ ปัจจุบันในช่วงนั้นๆ ที่หนังเข้าฉายในปีนั้นๆ ครับว่า ยุคนี้ศาสนาเราเป็นอย่างไร สังคมเราเป็นอย่างไร ประเด็นเด่นๆ ในสังคมของเราเป็นอย่างไร ในหนังคอมเมดี้พวกนี้มักจะมีอะไรพวกนี้แทรกอยู่ เหมือนเราได้อัปเดต ได้เรียนวิชาสังคมในช่วงปีนั้นๆ ที่หนังฉาย”

    Top3

    ถึงจุดนี้แล้ว หลายคนที่รู้จักท็อปมาก่อนอาจจะแอบจองตั๋วไปชม “หลวงพี่เท่ง Come Back” วันพรุ่งนี้อยู่แน่ๆ แต่ก็คงมีอีกหลายคนเช่นกันที่คุ้นๆ หน้าท็อป แต่ยังไม่รู้จักดีพอว่าท็อปอยู่วงการนี้มา 20 ปีแล้ว

    “ถ่ายโฆษณาครั้งแรกตอน ม. 4 ครับ อายุประมาณ 15 ปี เป็นโฆษณา Swensen ตัวแรกในชีวิตเลย จากนั้นก็มาแคสต์งานที่บริษัทบรอดคาซท์ของพี่หน่อง ตอน ม.5 ได้เล่นเป็นมนุษย์ไฟฟ้า 5 สี สปอร์ตเรนเจอร์ภาคแรกเลยครับ เล่นเป็นสีเขียว

    เล่นบรอดคาซท์มาสักพักก็เข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ผมต้องหยุดงานไปสองปี เพราะว่าเรียนหนักมาก แล้วก็กลับมาแคสต์โฆษณาใหม่ ตอนปี 3 อายุประมาณสัก 20 ปี หลังจากนั้นก็อยู่ยาวเลยครับ มีทั้งงานโฆษณา พิธีกร ดีเจ ประกวด Cleo ปี 2015 แล้วก็มีซีรีส์และหนังเรื่อยมาครับ” ท็อปตอบ

    Top4

    20 ปี ในวงการบันเทิงสอนอะไรเราบ้าง “คลื่นลูกใหม่มีมาเสมอ ถ้าไม่พัฒนาตัวเอง” ท็อปตอบทันที

    “ผมน่ะรุ่นเดียวกับมาริโอ้กับสายป่าน เห็นการเติบโตของแต่ละคนที่แยกย้ายกันไปประสบความสําเร็จ ผมมองว่าในวงการบันเทิงบ้านเราไม่ได้มีมาตรวัดหรือตัววัดว่าทำอะไรแค่ไหนถึงจะทําให้เราประสบความสําเร็จ ไม่เหมือนกับการเรียนหมอ เรียนวิศวะ เมื่อคุณตั้งใจเรียน คุณทำงานสายนั้นไปคุณจะไปถึงจุดสูงสุดในสายอาชีพได้

    แต่วงการบันเทิงบ้านเราไม่มีมาตรวัดไงว่ามีอะไรบ้างที่จะทำให้คุณเป็นนักแสดงที่ดีได้ ต้องทำงานกี่ปี แสดงหนัง/ละครกี่เรื่อง ถึงจะเป็นนักแสดงที่ถูกยอมรับ ถึงจะเป็น material หนึ่ง ให้อุตสาหกรรมนี้หยิบไปใช้ เพราะฉะนั้น มันไม่มี KPI ในการวัดเลย 

    แต่สิ่งที่ผมได้จากวงการนี้หนึ่งอย่าง ซึ่งทุกอาชีพทําแล้วก็จะประสบความสําเร็จเหมือนกัน คือการทํามันไปเรื่อยๆ ครับ อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ท้อได้ ผมก็ท้อ ทุกคนไม่ว่าอาชีพไหนก็ท้อได้ แต่ต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองต่อนะครับ โอกาสมีมาเสมอ แต่ถ้าโอกาสมาถึงแล้วเราคว้าไว้ได้แล้ว แต่เราทําได้ไม่ดี โอกาสก็จะผ่านไป” 

    สมมติถ้าท็อปมีโอกาส “เลือกโอกาสได้หนึ่งอย่าง” บทบาทไหนที่ท็อปจะเลือก “โหจริงๆ มีหลายอันมากเลยครับ” ท็อปตอบ “แต่ถ้าจะต้องเลือกหนึ่งบท บทที่ผมอยากแสดงคือ ‘บทสาวประเภทสอง’ ที่ไม่ใช่ ทรานส์เจนเดอร์ นะ หรือ บทที่มีความสวิงทางด้านอารมณ์ค่อนข้างสูง แบบ ไบโพลาร์ ครับ

    ผมเป็นคนโชคดีอย่างหนึ่งครับ ครั้งแรกที่ผมก้าวมาเล่นซีรีส์คือ “ตี๋ใหญ่ดับดาวโจร” พี่ปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม) เอาผมมาเล่นกับพี่โจ๊ก (อัครินทร์) ตอนนั้นผมได้เล่นบทที่เป็นบทในใจผมที่ผมรู้สึกว่าท้าทายมากๆ คือ เล่นเป็นเด็กออทิสติก

    ก่อนหน้าที่จะดีไซน์คาแรกเตอร์ตัวนี้ ใครหลายๆ คนจะคิดว่าออทิสติก เท่ากับ คนที่มีอาการดาวน์ แต่จริงๆ ออทิสติกที่ผมไปรีเสิร์ชมา ถ้าให้เทียบให้นึกถึงบทที่ ต่อ ธนภพ แสดงตอนเล่น Side by Side ครับ เป็นบทที่ผมภูมิใจมากที่ได้แสดง”

    Top5

    บทที่มีความสวิงทางอารมณ์สูงทำให้นึกถึง “โจ๊กเกอร์” นะ แต่นั่นนอกจากเรื่องการแสดงแล้ว การทรานส์ฟอร์มร่างกายก็ถึงด้วยนะ ลดน้ำหนักจนเปลี่ยนเป็นอีกคนเลย

    Top6

    “แต่ผมทำได้นะ เพราะเพิ่งทำไปก่อนไปถ่าย “วัยหนุ่ม 2544” ที่จะฉายปลายปีนี้ ตอนแรกผมคิดว่ายากมากครับ ผมเกิดมา 35 ปี ไม่เคยมีซิกซ์แพ็กเลย ไม่เคยมีหุ่นดี ไม่เคยมีกล้าม แต่พอต้องทำ ผมก็รู้สึกว่า เฮ้ยมันจะต้องเปลี่ยนจริงๆ ด้วยเพราะบทที่เราคุยกับผู้กํากับ และเพื่อนๆ นักแสดงทั้งหมด ตอนเข้าไปเวิร์กช้อป ตัวละครตัวนี้ ร่างกายต้องดีเท่านั้น

    จากที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ต้องใช้ใจอย่างเดียว ใจต้องบอกเราว่าต้องตื่นมาทําอะไรสักอย่างทุกวัน ผมเพิ่งเข้าใจคําว่า ‘วินัย’ คืออะไร วินัยก็คือการที่คุณเอาตัวเองไปทําในสิ่งที่คุณไม่อยากทํา เอาตัวเองไปทําในสิ่งที่เราไม่เคยทํามาก่อน เราต้องใช้ใจบอกตัวเองว่า เฮ้ย ไหววะ เราทำได้ ผมทำคาร์ดิโอสัปดาห์ละ 700 นาที วันละ 140 นาที แบ่งเช้า 70 เย็น 70 ต้องตื่นตี 5 มาวิ่งบนลู่ที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน

    สองเดือนกินอาหารที่ตัดน้ํามัน ตัดน้ําตาล กินโปรตีนให้ถึง ต้องเอาตาชั่งไปทุกที่ เวลาไปกินข้าวกับเพื่อน เราต้องชั่งเนื้อชั่งข้าวทุกวันเพื่อให้ได้ตามที่กําหนด ผมทำทุกวันอยู่สองเดือนจนเพื่อนล้อว่า  โห “วัยรุ่นนับแคล” แต่สุดท้ายพอวันที่ต้องเข้ากองถ่าย ร่างกายเราจากที่เคยเป็นมาเมื่อสองเดือนก่อน เราเห็นร่างกายเราทุกวัน เราไม่อยากเชื่อ ผมพูดจริงๆ ผมน้ําตาไหลเลย สิ่งที่ผมทุ่มเทไปก็เพื่อจะบอกว่า

    “หนังจะอยู่กับเราไปจนวันตาย จนเราตายไปแล้วหนังเรื่องที่เราแสดงจะยังอยู่ ถ้าเราไม่ทําวันนี้ โทษใครไม่ได้เลยนอกจากโทษตัวเอง เพราะเทรนเนอร์บอกว่าได้ ผู้กํากับว่าขอได้ไหม แล้วเราก็บอกตัวเองว่าทําได้ ถ้าเราทําไม่ได้ โทษใครไม่ได้เลยจริงๆ”

    สุดท้าย “ผมฝากหนังแฟรนไชน์คอเมดี้อีกเรื่องหนึ่งเรื่องที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานมากกว่า 19 ปี ได้คัมแบคแล้วนะครับ ผมมั่นใจว่าผู้ชมจะแฮปปี้ มีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มหลังจากเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์ ได้รอยยิ้มกลับมาจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เหล่านักแสดงและทีมงานตั้งใจสร้างภาพยนตร์คอมเมดี้นี้อีกครั้งนึง เพื่อให้หลายๆ คนได้มีรอยยิ้มอีกครั้งนึง” ท็อปกล่าวปิดท้าย

    Photo @toptodsapol

    ก่อนจากกัน อย่าลืมคลิกรับชมวิดีโอสัมภาษณ์ฉบับเต็มกับ ท็อป ทศพล หมายสุข

    Exclusive Interview กับ Inzpy ใน YouTube Channel ของเรา และฝากกดฟอล กดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะคะ 🙂

    บทความที่น่าสนใจ

    “ภีม-ณัฐภัทร ประภานนท์” นักแสดงหนุ่มคมเข้มที่น่าจับตามอง จากซีรีส์ “กล้าทะเล”

    ถ้าสลับ อัพ เป็นโจและ ภูมิ เป็นหมิงในตัวนาย ตัวแทนของ อัพภูมิพัฒน์ และ ภูมิภูริพันธ์

    Related Post