Bring me the Horizon อีกชื่อของสุดยอดวงเดธคอร์ของโลกใบนี้ ที่ในปัจจุบันได้ลดความเดือดลงมาเยอะ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะทางวงเอง มีความหลากหลายทางดนตรีอยู่แล้ว รวมไปถึงเส้นเสียงของ Oliver Sykes ที่พัง หลังจากใช้งานทั้งบนและนอกเวที มากอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้เขาต้องเปลี่ยนวิธีการร้อง เพื่อเซฟเส้นเสียงให้มากกว่าเดิม
ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะมาย้อนรอยไปถึงบรรยากาศ และความประทับใจของการมาเยือนประเทศไทยเมื่อปี 2019 ของพวกเขา กับอีกหนึ่งมหรสพจากวงต่างประเทศที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา
Bring me the Horizon Live in Bangkok 2014
ในความเป็นจริงแล้ว Oliver และคณะนั้นเคยมาเยือนประเทศไทยแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกคือปี 2014 ในช่วงนั้นเป็นทัวร์ของชุด Sempiternal ที่ออกเมื่อปี 2013 โดย Live ในครั้งนี้จัดขึ้นที่ Centerpoint Studio ซอยลาซาล บางนา
โดยบรรยากาศด้านนอกก่อนที่ว์จะเริ่ม บอกเลยว่าคึกคักกันสุด ๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรก ของวงที่ว่ากันว่าเป็นขวัญใจมหาชนชาวเมทัล อย่างแท้จริง ทั้งลุค เพลง และชื่อวงที่โคตรจะเท่ (สำหรับใครหลายคน) ซึ่งหน้างานผู้เขียนมีโอกาสพบเจอทั้ง เต๋า Sweetmullet ,สมาชิกวง bodyslam รวมไปถึง Lomosonic และ Ebola
แต่กระนั้นสิ่งหนึง่ที่เป้นห่วงคือ ก่อนที่จะมาไทย BMTH ได้เป็นเล่นที่ Knotfest ที่ญี่ปุ่นมาก เขาว่ากันว่า Oliver เสียงตกลงไปมาก ทำให้หลายคนกังวลว่า จะไหวไหม Live ครั้งนี้
ซึ่งสุดท้ายมันไมได้แย่เสียงของ โอลิ ประคองผ่านไปได้ แต่!โชว์ดันเป็นไปแบบรีบ ๆ เพราะเล่นเพียง 12 เพลง (รวมช่วง Encore แล้ว) มาถึงคืออัด ๆ โยก ๆ พูดน้อย รีบเล่นรีบจบ แถมยังไม่มีเพลงฮิตที่คนรออย่าง Pray for plagues
ทั้งนี้มารุ้ทีหลังว่า พี่โอลิเวอร์ แกไม่สบาย มีอาการเส้นเสียงอักเสบ แต่ไม่อยากให้คอนต้องเลือก หรือถูกยกเลิก พี่แกก็แบกสังขารขึ้นมาว้ากเต็มที่ สุดท้ายจบโชว์ ต้องขึ้นรถไป โรงพยาบาลด่วนเลย!
Bring me the Horizon Live in Bangkok 2019
คร่านี้ บริงมี กลับมาอีกครั้งกับโชว์แบบ outdoor ณ Show DC พระราม 9 ซึ่งข้อแตกต่างครั้งนี้ กับครั้งที่แล้ว คือ BMTH เป็นวงที่มีชื่อเสียงขึ้น เป็นวงที่บอกได้ว่า ‘แมสแล้ว’ ในระดับโลก จะวงเดธคอร์ แหกปาก ว้าก ๆ กลายเป็นวงที่ทำดนตรีได้มีมิติ มีสเน่ห์ เสียงร้องของโอลิเวอร์ ก็ดีขึ้น จะการเปลี่ยนวิธีร้อง
นอกจากนี้ พวกเขายังพร้อมกับอัลบั้มใหม่อย่าง Amo ทีมีความร็อค และเพลงหวาน ๆ เรียกว่าเป็นอีกอัลบั้มที่แปลกหูแปลกตา ไปจากประวัติศาสตร์ของวง
เหมือนเดิมครับครั้งนี้บรรยากาศคึกคัก เรียกว่า คึกคักกว่าเมื่อปี 2015 ด้วยความที่สถานที่จัดมันอยู่ใจกลางเมือง เดินทางง่าย รถไฟฟ้ามี ต่อมอเตอร์ไซด์นิดเดียวก็ถึง ครั้งนี้อาหารการกิน เรียกว่าพร้อม ลานเบียร์ก็มีให้ แถมแบ่งโซนไว้อย่างสวยหรูและชัดเจน ถือว่าเป็นอีเว้นท์ ที่มีการเตรียมตัวที่เยี่ยม และประทับใจตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงาน
คอนเสิร์ตเริ่มประมาณ 20.30 ดดยประมาณครับ ตามกำหนดการแต่เชื่อไหมว่า ผมไปถึง Show DC ตั้งแต่ ประมาณ 16.30 ก็เริ่มมีคนมาต่อแถวเข้าคิว เพื่อตอกบัตรเข้างานแบบยาวตั้งแต่หน้ายันท้ายห้าง ไปเราก็ต่อแถวแบบเหงา ๆ เพราะครั้งนี้ลุยคนเดียว แม้ในความโชคดีจะพอได้เจอรุ่นพี่ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง
ไปเข้าแถวประมาณ 5 โมง ได้เข้าไปในโซนนอกของงานประมาณ 6 โมง ก็หาอะไรรองท้อง เพราะสัมผัสได้ว่า วันนี้จะต้องสูญเสียพลังงานและเหงื่อแบบมหาศาล 19.30 เดินลุยแหวกว่ายไปท่ามกลางฝูงชน เพื่อที่จะรอความสนุกที้กำลังจะเริ่มขึ้น
แต่ก่อน BMTH จะขึ้น ก็มีวง ANNALYN วงเมทัลสัญชาติไทยแท้ ๆ ที่มากฝีมือเหลือเกิน ขึ้นมาเล่น Opening Act ซึ่งก็คือจัดเต็มเหมือนกับเป็นคอนเสิร์ตของตัวเอง เป็นการเผาหัวที่มันเกินเบอร์ ที่สพคัญยังเอาเพลงใหม่ของตัวเอง ณ ตอนนั้น มาเล่นเป็นที่แรกอีก
และหลังจากที่รอกันอยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลาของ ตัวจริงเสียงจริง ที่จะกลับมาแก้ตัวอีกครั้งจากปี 2015
Luden เพลงใหม่ ที่เล่นครั้งแรกในโลกที่ประเทศ
วงเปิดโชว์มาตามข่าวลือ ที่ว่าจะเล่นเพลงใหม่ LUDEN ซึ่งเป็น Original soundtrack จากเกม Death Stranding เกมที่เพิ่งออกมาล่าสุดในตอนนั้น ซึ่งเปิดมาก็มอบความประทับใจกับการได้ฟังเพลงนี้แบบสด ๆ เป็นครั้งแรกในโลก รวมกันชาวไทยที่อยู่ในงาน
จากนั้นอัดตอนด้วยเพลงหน่วง ๆ ชวนโดด Can you feel my heart เสียงร้องกระหึ่มจากแฟนเพลงยิ่งเร้าอารมณ์ ทำให้บรรยากาศโชว์โคตรสนุก แม้จะเพิ่งเริ่มต้น แล้วต่อด้วยเพลงโปรดของผู้เขียน Wonderful Life เพลงดี ๆ มีข้อคิด แถมเป็นการส่งสัญญาณจากวงว่า โดด!
ขอแทรกนิด เมื่อ Live ดำเนินมาถึงตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่แตกต่างอย่างเห้นได้ชัดคือ รอบนี้ โอลิเวอร์ มีรอยยิ้มมากขึ้น มีการสื่อสารกับคนดูมากขึ้น แถมแฟชั่นรอบนี้สุด! ทั้งเสื้อผ้า สีผม และ ดวงตาที่ใส่คอนแทคให้ตาเป็นสองสี นอกจากนี้ทุกอย่างที่พุดมาก มันเข้ากันกับ วิชวลเอฟเฟ็คที่ใช้ประกอบโชว์มากกก
จบจาก wonderful Life ก็เป็น Medicine อกหัก ๆ แบบมีความป็อป แบบวงร็อค! อีกหนึ่งเพลงฮิต ที่ร้องตามกันทั้งงาน ก่อนเปลี่ยนอารมณ์มาเดือดแบบสุด ๆ ด้วยเพลง The House of wolves ที่มีริฟท์กีต้าร์ที่โยกทั้งเพลง และการมอช และ Circle pit ก็เริ่มต้นขึ้น เรียกว่า เจ็บตัว แต่สนุกและมีความสุขกันไปตาม ๆ กัน
Sugar honey ice & tea ที่มาส่งต่อความเดือดก่อนการเซอร์ไพร์สครั้งใหญ่ในเพลงต่อไป …
Diamond aren’t forever แบบสุดเซอร์ไพร์สแฟน
อย่างที่บอกครับ BMTH นั้นมีพื้นฐานเป็นเดธคอร์ ริฟท์ดุ เบรกดาวน์แน่น ๆ และเสียงสำรอกโหด ๆ ซึ่งอะไรแบบนี้หาแทบไมได้จะอัลบั้มใหม่ ๆ และอย่างที่บอกว่า โอลิ เส้นเสียงพังไปรอบหนึ่งแล้ว คงต้องระวังมากขึ้น แต่…
We will never sleep, ’cause sleep is for the weak
And we will never rest, ’til we’re all fucking dead
เนื้อร้องที่คุ้นหูจากท่อน Intro ทำให้แฟน ๆ ส่งเสียงเฮ และกรี๊ดออกมา พร้อมกับอาการกระโดดโลดเต้น ซึ่งบางคนถึงกับบอกว่า ‘เป็นบุญหู ที่ได้ฟังเพลงนี้สด ๆ’ Diamond aren’t forever เพลงแนวเดธคอร์ดั้งเดิมของวง จากอัลบั้มชุดที่ 2 ‘Suicide Season’ ถูกบรรเลงออกมา ก็คือ ‘ยับ’ ทุกอย่างมั่วไปหมด ความสนุกสุดขีดคลั่งถูกจุดขึ้น
วงมอชพิชวิ่งกระโดดใส่กัน พอมีคนล้ม ก็ช่วยกันประคองขึ้นมา แล้วกระโดดใส่กันต่อย ซึ่งนี่คือสเน่ห์ของวัฒนธรรมความร็อค ซึ่งมันมีภาพที่น่ารักความนั้น เสียดายที่ว่า คลิปวิดีโอนั้นหายไปแล้ว
มันคือ ภาพของการวิ่งเล่นในวงมอชพิช แล้วดันมีคนที่ตะคริวขึ้นทำให้ต้องนอนลงกับพื้น พอมีคนเห้น ก็มายืนล้อมวง พร้อมกับโยกหัวไปตามจังหวะเพลง เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่วิ่ง ๆ อยู่ หรือกระโดดใส่กันอยู่ แล้วไม่เห้นว่าคนเจ็บ เข้ามาถึงตัวคนเจ็บได้ เรียกว่าเป็นภาพที่ผมประทับใจที่สุดภาพหนึ่งเลย
เมื่อจบเซอร์ไพร์สจาก แฟน ๆ ก็ต่อด้วยเพลงฮิตอีกครั้ง Shadow moses เพลงเด่นจากการทัวร์เมื่อคราวที่แล้ว และคราวนี้แฟน ๆ ตอบรับกันแบบสุดเสียง คนที่ 5-6 พันคน ตะโกน This is Sempiternal พร้อมกันแบบพื้นดินยังสั่นสะเทือน!
และต่อด้วยตำนานปีโต๊ะ กับเพลง Happy Song ที่ โอลิเวอร์เคยปีนโต๊ะของ cold play ไปร้องเพลงนี้ต่อหน้าตำนานวงร็อคมาแล้วในงาน Grammy ก่อนจะเบรกอารมณ์ด้วย Mother Tongue ที่คงต้องบอกว่านี่คือเพลงป็อป และเป็นเพลงรักของวง!
จากนั้นเป็น วงก้ได้เรียกแฟนเพลงขึ้นมาร้องเพลง Antivist ร่วมกัน และโมเม้นทืที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะต้องฟินไปจนวันตายกับเพลง nihilist blue ที่โอลิเวอร์ เดินไปเอาหน้าชนกับแฟนเพลงสาวฮ่องกงรายหนึ่งอยู่นานมากกก (ขนาดผมยังรู้สึกใจเกเรเลย)
ก่อนจะปิดโชว์ด้วย Follow you เพลงที่หลาย ๆคน ก้รอคอยไม่แพ้กัน
Encore จัดเต็มที่สุด!
แน่นอนดชว์ดี และเต็มขนาดนี้เสียงตะโกน Encore กู่โก่งทั้งพระราม 9 Oliver sykes ,Lee Malia ,Matt Kean ,Matt Nicholls ,Jordan Fish ย่างก้าวกลับข้นมาบนเวที เปิดช่วง Encore ด้วยเพลง Thorne ที่ร้องตามกันสนั่น พร้อมกระโดดกันแบบสุดตัว
จากนั้น Mantra เพลงโปรโมทของอัลบั้ม Amo ก็ขึ้นมาให้ Circle pit กันส่งท้ายแบบเดือด ๆ เรียกว่า เต้นกันตัวแทบขาด ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลง Drown ที่พอจบเพลง จนคอนเสิร์ตแทบจะมีอาการหายใจไม่ออก แบบคนจมน้ำจริง ๆ เหนื่อย น่วม แต่สนุกสุด ๆ
เรียกว่า อะไรที่เคยผิดหวังเมื่อปี 2015 ทุกอย่างกับมาสมหวัง (ยกเว้น Pray for Plauges ที่วงคงจะไม่เล่นอีกแล้ว) ซึ่งเหมือน Bring me the Horizon เองจะรู้ว่าพวกเขาเคยพลาดไว้ รอบนี้แก้ตัวแบบจัดเต็ม เต็มจนล้น และเชื่อว่าใครที่อยู่ในงานวันั้น จะยังคงเก้บภาพประทับใจครั้งนี้ไว้แบบไม่มีวันลืม