เสียงของวงการความงาม ที่ช่วยขับเคลื่อนความหลากหลายในสังคม
วันนี้ Inzpy ขอมาแนะนำตัวแทนของวงการความงามที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความหลากหลายอยู่เรื่อยมาให้ทุกคนได้รู้จักกัน ทุกปีในวงการบิวตี้ก็มักจะมีเทรนด์ใหม่เกิดขึ้นเสมอ อย่างเทรนด์การใส่ใจสิ่งแวดล้อมของแบรนด์บิวตี้มากมาย ไม่ว่าจะเกิดเทรนด์ในวงการความงามอะไรขึ้นมา เช่น เทรนด์เมคอัพสีสันแบบ Y2K เทรนด์ทรงผมใหม่ ๆ เทรนด์เหล่านี้ไม่เป็นเพียงสีสันที่ช่วยให้ทุกคนได้สนุกไปกับเรื่องความงาม การดูแลตัวเองและการแต่งหน้าทำผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองด้านความหลากหลายของสังคมอีกด้วยน้า
วงการบิวตี้ขับเคลื่อนความหลากหลายอย่างไร ?
วงการบิวตี้อาจไม่ได้เกิดการประท้วงหรือเรียกร้องทางกฎหมายอย่างชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความหลากหลายในสังคมที่เกิดขึ้นกับวงการนี้อยู่เรื่อยมา นั่นคือแคมเปญต่าง ๆ จากทั้งแบรนด์เล็ก-ใหญ่ทั่วโลก ซึ่งแม้จะมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการขาย แต่ในหลาย ๆ แคมเปญก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงมุมมองด้านความงามและเปิดโลกความหลากหลายให้สังคม
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แคมเปญบิวตี้มากมายต่างหันมาใส่ใจความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะทั้งทางร่างกาย สีผิวและเพศ เพื่อทลายกรอบความคิดและมาตรฐานความงามแบบเดิม ๆ และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สนุกไปกับเรื่องความงามมากขึ้น และเมื่อค่านิยมความสวยแบบพิมพ์นิยมกำลังเปลี่ยนไป ก็ได้นำมาสู่ความท้าทายใหม่โดยเฉพาะสำหรับแบรนด์ความสวยความงาม เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ความคาดหวังมากขึ้นถึงคุณค่าและวัฒนธรรมองค์กรของแบรนด์ว่าใส่ใจกับความหลากหลายของผู้บริโภค และพร้อมเป็นกระบอกเสียงบอกต่อ สร้างเรื่องราวให้ความสำคัญกับ ความดูดีในรูปแบบของตัวเอง (Inclusivity) จึงถึงเวลาแล้วที่นักการตลาดจะต้องปรับตั้งกลยุทธ์ใหม่ สื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้สะท้อนถึงมุมมองความสวยงามที่เปลี่ยนไป เข้าถึงใจผู้บริโภคมากขึ้น
-
เริ่มต้นกับความหลากหลายทางกายภาพหรือร่างกาย
ดูโพสต์นี้บน Instagram
ด้วยแคมเปญเปิดตัวมาสคาร่า L’Obscur จาก Gucci Beauty ในปี 2020 ที่ได้นางแบบดาวน์ซินโดรมอย่าง Ellie Goldstein มาร่วมถ่ายโปรโมตร่วมกับ Vogue Italia ซึ่งแคมเปญนี้สร้างกระแสฮือฮาทั่วโลก เพราะถือเป็นครั้งแรกกับการเปิดโอกาสให้นางแบบที่ต้องเผชิญกับอาการดาวน์ซินโดรมมาเป็นเหมือนพรีเซนเตอร์แบรนด์บิวตี้ชั้นนำ และหลังจากนั้นมาเราจะเห็นนางแบบผู้พิการมากมาย ได้รับโอกาสในการถ่ายโปรโมตแบรนด์บิวตี้ ในเล่มนิตยสารรวมถึงบนรันเวย์อยู่เรื่อย ๆ
-
ความหลากหลายทางสีผิว
ดูโพสต์นี้บน Instagram
เรื่องความหลากหลายทางสีผิว เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนในวงการบิวตี้เมื่อแบรนด์ Fenty Beauty ของสาว Rihanna ออกผลิตภัณฑ์รองพื้นที่มีกว่า 40 เฉดสี ซึ่งในช่วงแรกที่แบรนด์วางขายรองพื้นตัวนี้ เฉดสีที่หมดเกลี้ยงในเวลาอันสั้นกลับกลายเป็นเฉดสีกลางถึงเข้ม นั่นทำให้เห็นว่าที่ผ่านมาวงการบิวตี้ไม่ได้เปิดให้สาวผิวสีได้มีโอกาสเพลิดเพลินกับไอเทมต่าง ๆ แต่กลับต้องรู้สึกเหมือนถูกแบ่งแยกเพราะสีผิวที่เข้มกว่ารองพื้นที่มีอยู่โดยตลอด
ดูโพสต์นี้บน Instagram
นอกจากนี้ก็ยังมีรองพื้น Fit Me จากแบรนด์ Maybelline ที่มีเฉดสีกว่า 40 เฉดให้เลือกใช้ แถมมีเป้าหมายที่ต้องการสื่อกับสังคมว่าสิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการที่แบรนด์มีเฉดสีรองพื้นที่ ‘Fit’ กับเรา ไม่ใช่ว่าเราต้องไปพยายามทำสีผิวให้ ‘Fit’ กับสีของรองพื้นที่วางขาย
-
ความหลากหลายทางเพศ
ดูโพสต์นี้บน Instagram
มาถึงเรื่องของความหลากหลายทางเพศในวงการบิวตี้ หนึ่งแคมเปญที่เรียกว่าเกือบทุกแบรนด์ต่างออกมาขับเคลื่อนกันอย่างชัดเจนนั่นคือแคมเปญในเดือน Pride Month ที่ผ่านมา หลายแบรนด์ก็ได้ร่วมสนับสนุนและขับเคลื่อนความหลากหลายนี้ด้วยการทำแพ็กเกจจิ้งลิมิเต็ดที่ใส่สีสันของธง Pride ไว้ ซึ่งแม้แคมเปญนี้อาจดูเหมือนไม่ช่วยอะไร แต่แท้จริงนั้นแคมเปญนี้ช่วยสร้างความรับรู้และความตระหนักเรื่องเพศที่มีหลากหลายในสังคมได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ในปัจจุบันทั้งเหล่าเซเลบฯ และอินฟลูเอนเซอร์ต่างเริ่มมาทำแบรนด์บิวตี้ตัวเองมากขึ้น ซึ่งเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ผู้มีความหลากหลายทางเพศต่างทำแบรนด์บิวตี้ที่ไม่เพียงเพื่อทำธุรกิจ แต่ยังช่วยรณรงค์ความเท่าเทียมและการยอมรับในความหลากหลายอีกด้วย ซึ่งแบรนด์เหล่านี้ต่างเป็นพลังที่คอยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในสังคมอยู่ตลอด ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสมัยก่อนแล้ว ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมากเรื่อย ๆ เลยทีเดียว